เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นความจริง นางแค่เอาคนก่อเหตุอย่างหลี่เหวยหยวนที่ผลักเจ้าของร่างเดิมจนถึงแก่ความตายเปลี่ยนมาเป็นคนช่วยนางแทนเท่านั้นเอง
แม้จะมีผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเพิ่มขึ้นมา ทว่าใครจะไปสนใจแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกันเล่า หากฮูหยินผู้เฒ่าไปถามกับบรรดาสาวใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมา หลี่หลิงหว่านก็บอกได้ว่าตอนที่พวกนางแบกนางกลับเรือนมานั้น ท่ามกลางความวุ่นวายอาจจะทำผ้าผืนนั้นหายไปแล้วก็ได้
ดังนั้นคำโกหกนี้ของหลี่หลิงหว่านจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวสิ่งใดเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นความน่าเชื่อถือบนใบหน้าของหลานสาวก็เชื่อไปแล้วเช่นกัน
ทว่าในใจนางยังคงรู้สึกไม่ชอบในตัวหลี่เหวยหยวนอยู่
ประการแรกเป็นเพราะชาติกำเนิดของหลี่เหวยหยวน นางรู้สึกว่าแม้หลี่เหวยหยวนจะมีสายเลือดของสกุลหลี่ แต่เขาก็มีสายเลือดของสกุลตู้อยู่ด้วย เหมือนที่ตาเฒ่าเคยพูดไว้ในครานั้น ถึงอย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน อีกประการคือปีนั้นท่านเจ้าอาวาสมิได้กล่าวหรอกหรือว่าหลี่เหวยหยวนมีชะตาพิฆาต ในอนาคตไม่ว่ากับครอบครัวหรือแผ่นดินล้วนเป็นกาลกิณี ยามที่เขาคลอดออกมานั้นเดิมทีตาเฒ่าก็ยังสุขสบายดีแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ จึงได้หกล้มตายไปเสียได้ เห็นได้ว่าท่านเจ้าอาวาสมิได้กล่าวผิดแต่อย่างใด หลายปีมานี้นางมองดูหลี่เหวยหยวนแล้วก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไร้ความรู้สึกคนหนึ่งจริงๆ ทั้งวันเอาแต่ทำสีหน้าเคร่งขรึม ยามพบปะกับผู้อื่นจะยิ้มหรือไม่นั้นยังไม่ต้องพูดถึง เพราะแค่สายตาที่เขาใช้มองผู้คนก็เย็นยะเยือกมากแล้ว ทำให้ผู้คนอดหนาวเหน็บตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่ได้
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่กล่าวอะไรอีก เพียงให้หลี่หลิงหว่านประคองออกไป ค่อยๆ เดินไปนั่งบนเตียงหลัวฮั่น ที่อยู่ในห้องโถงหลัก
เป็นเพราะอากาศเย็น บนเตียงหลัวฮั่นที่เดิมรองด้วยเบาะสีแดงเข้มเอาไว้ก่อนแล้วจึงเพิ่มเบาะขนจิ้งจอกสีดำขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งเป็นพิเศษ
หลี่หลิงหว่านประคองฮูหยินผู้เฒ่าไปนั่งบนเบาะขนจิ้งจอกสีดำนั้น ตอนที่นางกำลังจะผละไปนั่งยังเก้าอี้กลมที่อยู่ด้านข้างก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือมาโอบไว้ในอ้อมกอด ทั้งยิ้มเอ่ย “นานๆ ทีหว่านเจี่ยเอ๋อร์ของย่าจะรู้ความเช่นนี้ ในใจย่ามีความสุขยิ่งนัก หลานมานั่งอยู่ข้างกายย่าเถิด”
นั่งที่ข้างกายไม่ใช่นั่งในอ้อมกอดกระมัง หากต้องทนนั่งอยู่ในอ้อมกอดฮูหยินผู้เฒ่าก็นับว่าไร้อิสระเกินไปแล้วจริงๆ ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงย้ายร่างจากอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่าไปยังที่นั่งข้างๆ อย่างเงียบเชียบ กระนั้นบนใบหน้าก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มสดใส “เจ้าค่ะ วันนี้หลานจะนั่งอยู่ข้างกายท่านย่า”
ขณะที่สองย่าหลานกำลังนั่งสนทนากันอย่างมีความสุขบนเตียงหลัวฮั่นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน แจ้งว่านายหญิงสามมาถึงแล้ว
นายหญิงสามก็คือโจวซื่อ…ซึ่งก็คือมารดาของหลี่หลิงหว่าน
พูดไปแล้วโจวซื่อก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง แต่งเข้ามาไม่ถึงครึ่งปีหลี่ซิวป๋อสามีก็โยกย้ายไปรับราชการยังมณฑลเจ้อเจียง ยามนั้นบิดาของโจวซื่อยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง สกุลเดิมยังคงรุ่งโรจน์ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่กล้าสร้างความลำบากให้โจวซื่อ บอกให้นางติดตามหลี่ซิวป๋อไปด้วย แต่หลี่ซิวป๋อกลับยืนกรานปฏิเสธ เอาแต่พูดว่าตนเป็นบุตรอกตัญญู ไม่สามารถอยู่ดูแลข้างกายมารดาได้ทุกวัน เดิมทีในใจก็เต็มไปด้วยความละอายอยู่แล้ว เขายังจะพาภรรยาไปด้วยได้อย่างไร ดังนั้นจึงได้ทิ้งโจวซื่อไว้ที่บ้าน บอกให้นางเคารพนอบน้อมต่อฮูหยินผู้เฒ่า คอยปรนนิบัติดูแลฮูหยินผู้เฒ่าทั้งเช้าเย็น
และการดูแลครั้งนี้ก็กินเวลาถึงแปดปีแล้ว ช่วงเวลานั้นบิดาของโจวซื่อเสียชีวิต สกุลเดิมพลันตกอับ นางยิ่งไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อมีการเข้ามาแทรกกลางของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งทำให้นางไม่สนิทกับบุตรสาวของตนเอง อีกทั้งจุดจบสุดท้ายของโจวซื่อยังถูกบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองพลั้งมือผลักตกน้ำตายไปด้วย
ตอนที่หลี่หลิงหว่านเขียนเรื่องของโจวซื่อออกมาก็คิดถึงแต่ภาพรวมของนิยาย นางคิดแค่ว่าจะต้องแสดงความจองหองและความร้ายกาจของเจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านซึ่งเป็นตัวประกอบหญิงผู้นี้ออกมา จะได้ทารุณตัวละครหลี่หลิงหว่านในภายหลังได้ง่ายๆ ให้ถึงขั้นเวลาที่หลี่หลิงหว่านตายไปจะได้รับเสียงตอบรับจากนักอ่านอย่างสูงสุด ให้พวกเขาเกิดความสะใจขึ้นมา
แต่นั่นเป็นเพราะหลี่หลิงหว่านไม่คิดว่าตนเองจะต้องข้ามมิติมาเป็นตัวประกอบหญิงที่ตนกระทำทารุณไปสารพัดอย่างเสียเองเช่นนี้ ดังนั้นยามมองโจวซื่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดินเข้ามาข้างใน ในใจหลี่หลิงหว่านพลันปรากฏอยู่สามคำ
เวรกรรมจริงๆ
นางก็แค่เขียนนิยายน้ำเน่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายตัวละครทุกตัวในนิยายจะมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ทั้งยังยืนอยู่ต่อหน้านางตัวเป็นๆ เช่นนี้ด้วย