ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหลี่เหวยหลิงเอ่ยถามเขาอย่างขบขัน “พี่ใหญ่ ท่านเพิ่งจะคลานขึ้นมาจากในน้ำหรือ”
หลี่หลิงเจียวได้ยินแล้วก็ปรบมือหัวเราะก่อนเอ่ย “จากที่ข้าเห็น พี่ใหญ่ไม่น่าจะคลานขึ้นจากน้ำ แต่น่าจะเกลือกกลิ้งในดินโคลนเสียมากกว่า มิเช่นนั้นยามที่พี่ใหญ่เดินมา บนพื้นจะเต็มไปด้วยรอยโคลนได้อย่างไร”
คนทั้งห้องพูดเพียงว่าหลี่หลิงเจียวใสซื่อไร้เดียงสาแล้วพากันหัวเราะขึ้นมา ทว่าท่ามกลางเสียงหัวเราะเหล่านี้ ใบหน้าของหลี่เหวยหยวนยังคงเฉยเมยเช่นเดิม เขาในตอนนี้ไม่มีความสามารถพอจะแสดงอารมณ์ของตนเองออกมาต่อหน้าคนเหล่านี้ได้
หลี่หลิงหว่านมองหลี่เหวยหยวนที่เป็นเช่นนี้ และหูได้ฟังคำพูดพวกนั้นของคนรอบข้างแล้วพลันรู้สึกละอายใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง
สาเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์อันน่ารันทดเช่นนี้กับหลี่เหวยหยวนล้วนมาจากนางที่เป็น ‘เทพผู้สร้าง’ คนนี้
หลี่หลิงหว่านรู้สึกหดหู่ นางไม่อยากได้ยินทุกคนเอ่ยสบประมาทหลี่เหวยหยวนเช่นนี้อีก จึงหันหน้าไปดึงชายแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ท่านย่า หลานหิวแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกๆ วันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าของเดือน ในสองวันนี้หลังจากที่ทุกคนมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็จะอยู่กินอาหารร่วมกับนางหนึ่งมื้อ
พอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยเช่นนี้จึงหันไปเอ่ยกับซวงหงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “คุณหนูสามหิวแล้ว ยกอาหารเข้ามาเถิด”
อย่างไรก็จะยกอาหารเข้ามาแล้ว ทุกคนย่อมไม่พูดจาเยาะเย้ยเสียดสีหลี่เหวยหยวนอีก
ห้องรองปีกตะวันตกมีโต๊ะกลมใหญ่อยู่โต๊ะหนึ่ง ทุกคนล้วนกินอาหารร่วมกันที่นั่น
ยามนี้ทุกคนพากันลุกเดินไปทางห้องรองปีกตะวันตก มีเพียงหลี่เหวยหยวนที่ยังยืนอยู่เงียบๆ ตรงกลางห้องโถงหลักเพียงลำพัง
แม้ทุกๆ วันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าของเดือนเขาจะมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่นี่เสมอ แต่ผู้เป็นย่าก็ไม่เคยให้เขาอยู่ร่วมกินอาหารด้วยกันมาก่อน ทุกครั้งล้วนไล่ให้เขากลับไปหลังคารวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในใจเขาคิดว่าวันนี้ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ออกปากไล่ให้เขากลับไป เขาก็ไม่อาจหุนหันออกไปเองได้
หลี่เหวยหยวนก้มหน้าลงมองปลายเท้าตนเอง ที่หว่างคิ้วขมวดตึงแฝงการรอคอยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเปิดปากบอกให้เขากลับไป ความจริงเขาเองก็อยากจากไปแล้วเช่นกัน ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทว่าในสายตาพวกเขานั้น เขากลับไม่ใช่ครอบครัวของพวกเขา และในสายตาของหลี่เหวยหยวน คนพวกนั้นก็ไม่ใช่ครอบครัวของเขาเหมือนกัน
ขณะที่หลี่หลิงหว่านกำลังช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปยังห้องรองปีกตะวันตก พอฮูหยินผู้เฒ่าหันหน้ามาเห็นหลี่เหวยหยวน นางกำลังจะบอกให้เขาจากไปเช่นทุกที แต่กลับคิดถึงคำพูดที่หลี่หลิงหว่านบอกว่าเขาเคยช่วยตนเองไว้ขึ้นมาได้เสียก่อน ดังนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าได้ยินน้องสามของเจ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ที่นางหกล้มโชคดีที่มีเจ้าช่วยพันแผลที่ศีรษะให้ นางถึงได้ไม่เสียเลือดมากไป สุดท้ายจึงช่วยนางกลับมาได้ เห็นแก่ที่ในใจเจ้ายังมีน้องสามของเจ้าอยู่ วันนี้เจ้าเองก็อยู่กินอาหารเช้าด้วยกันเถอะ”
หลี่เหวยหยวนพลันเงยหน้ามองไปทางหลี่หลิงหว่านทันที แววตาเต็มไปด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อ
ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นเขาที่ลงมือผลักนาง และตั้งใจจะทำให้นางตาย ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าวันนี้นางจะต้องมาฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องของเขาอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่านางกลับพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าเขาเป็นคนช่วยนางเอาไว้
เหตุใดหลี่หลิงหว่านจึงต้องทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วในใจนางกำลังคิดและตั้งใจจะทำสิ่งใดกันแน่
เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ในใจหลี่หลิงหว่านก็คิดว่า ข้าตั้งใจจะเอาใจเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าไม่เห็นเลยหรือ ข้าแค่ไม่อยากถูกเจ้าฆ่าตายตั้งแต่อายุยังน้อย แค่อยากจะมีชีวิตอยู่ถึงวันที่แก่ตายไปเท่านั้นเอง ดังนั้นขอร้องเจ้าล่ะ อย่าได้ใช้สายตาน่ากลัวเช่นนี้มองข้าเลย ขาข้าแทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว!
หลี่หลิงหว่านถอนสายตาที่สบกับหลี่เหวยหยวนกลับมา แล้วก้มหน้ามองไปยังลายดอกเบญจมาศสีทองบนเสื้อคลุมผ่าหน้าแขนยาวของฮูหยินผู้เฒ่า
หลี่เหวยหยวนเองก็เก็บความตกใจกับความแปลกใจในสายตาไปหมดแล้วเช่นกัน ที่หว่างคิ้วกลับมาเรียบเฉยเหมือนก่อนหน้า เขาก้มศีรษะเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอบคุณขอรับท่านย่า”
ทุกคนไม่มีใครคาดคิดว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะให้หลี่เหวยหยวนอยู่ร่วมกินอาหารด้วย
เดิมทีหลี่เหวยหยวนก็เป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยออกไปที่ใดอยู่แล้ว ทั้งยังสวมอาภรณ์เก่าขาด มองดูเป็นคนเย็นชาอำมหิตคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครยินยอมนั่งใกล้เขา สุดท้ายเพราะไร้ทางเลือก หลี่หลิงหว่านจึงต้องนั่งอยู่ข้างกายเขา