นั่งอยู่ข้างขุนนางกังฉินที่อำมหิตที่สุดในนิยาย มิหนำซ้ำวันข้างหน้ายังถูกกำหนดว่าจะเป็นคนที่สังหารตนเอง หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่ากระทั่งลมหายใจที่เข้าไปในปอดยังแฝงไว้ซึ่งความหวาดกลัวอยู่บางส่วน แม้แต่มือนางที่ถือตะเกียบยังสั่นระริก หากพูดกันอย่างจริงจังแล้ว นี่ถือเป็นความใกล้ชิดครั้งแรกระหว่างนางกับหลี่เหวยหยวนก็ว่าได้
ยามนี้บนโต๊ะกลมมีอาหารอันอุดมสมบูรณ์วางอยู่เต็มโต๊ะจนละลานตา
นอกจากจะมีอาหารจำพวกข้าวต้มและของว่างอย่างโจ๊กไก่ฉีก ชาเมล็ดซิ่ง ขนมเปี๊ยะหน้างา ขนมเปี๊ยะทอดไส้หัวไช้เท้าหั่นฝอย เกี๊ยวไส้หวาน ขนมเปี๊ยะหวาน รากบัวเชื่อมน้ำตาลดอกกุ้ย และขนมหร่วนเซียง แล้ว ก็ยังมีกับข้าวที่กินคู่กับข้าวต้มอย่างพวกตับเป็ดพะโล้ อกไก่พะโล้ และฟองเต้าหู้ปรุงรส
แม้ในตระกูลจะมีมารยาทเรื่องไม่พูดคุยกันเวลาที่กินอาหาร ทว่าสมาชิกส่วนใหญ่ยังคงเป็นเด็ก ทั้งยังเป็นเด็กที่เย่อหยิ่งเสียส่วนมากด้วย ดังนั้นยามที่กินอาหารจึงยากจะหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจสั่งบรรดาสาวใช้จำพวก ‘เติมโจ๊กให้ข้า’ ‘เติมชาเมล็ดซิ่งให้ข้า’ ‘คีบฟองเต้าหู้ให้ข้า’ ไปได้
หลี่หลิงหว่านแทบอยากจะลงไปคุกเข่าให้พวกเขาอยู่แล้ว คำสั่งจำพวกเติมโจ๊ก เติมชาเมล็ดซิ่งพวกนี้ก็แล้วไปเถอะ ข้ายังพอจะเข้าใจได้ แต่พวกคำสั่งให้คีบขนมหร่วนเซียงหรือฟองเต้าหู้นั้นออกจะเกินไปแล้วกระมัง ตะเกียบในมือพวกเจ้าเป็นแค่ของประดับหรือไร เหตุใดไม่ให้สาวใช้ช่วยกินอาหารเช้าแทนเสียเลยเล่า!
ต่อให้ในใจหลี่หลิงหว่านจะคอยเหน็บแนมมากแค่ไหน ทว่าเบื้องหน้ากลับไม่สามารถพูดออกมาได้จริงๆ นางทำได้เพียงตักโจ๊กไก่ฉีกในชามตนเองกินต่อไปเงียบๆ เท่านั้น ก่อนที่หางตานางจะเหลือบไปเห็นหลี่เหวยหยวน
เขากำลังกินโจ๊กไก่ฉีกในชามตนเองไปอย่างนิ่งเงียบ ไม่เรียกสาวใช้มาเติมโจ๊กหรือชาเมล็ดซิ่งให้ตนเอง และก็ไม่ยื่นตะเกียบออกไปคีบของว่างหรือกับข้าว เขาเพียงแค่ทำตัวนิ่งเงียบไปเช่นนั้น นั่งกินโจ๊กในชามของเขาด้วยท่าทีที่เหินห่างซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขา ราวกับว่าเขาจะอยู่ตามลำพังเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีใครที่จะเป็นห่วง รักถนอม หรือคิดปกป้องเขา
หลี่หลิงหว่านมองหลี่เหวยหยวนที่เป็นเช่นนี้แล้วพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา
คิดเช่นนี้แล้วหลี่หลิงหว่านจึงยื่นตะเกียบไปคีบเกี๊ยวไส้หวานมาวางบนจานกระเบื้องเล็กสีขาวลายดอกไม้ซึ่งอยู่ด้านหน้าเขา
หลี่เหวยหยวนเห็นแล้วก็หันหน้ามามองนาง แววตาเขานิ่งเฉย ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ
หลี่เหวยหยวนที่อยู่ในระยะใกล้เช่นนี้…ในชั่วพริบตานั้นสมองของหลี่หลิงหว่านก็นึกไปถึงจุดจบอันน่าอนาถของเจ้าของร่างเดิมที่นางบรรยายไว้ในนิยาย
ช่วงตงจื้อ หิมะตกหนัก ภายในวัดร้างมีบุรุษแววตาเย็นชาอำมหิตยืนอยู่ ส่วนเจ้าของร่างเดิมก็นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น
หลี่หลิงหว่านรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา ยามนี้ ‘หลี่เหวยหยวน’ สามคำนี้ได้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับนางไปแล้ว ทว่านางยังคงจำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายทั้งหมดเพื่อประจบเอาใจเขา นั่นก็เพราะว่านางยังอยากจะมีชีวิตอยู่ นางยังไม่อยากตาย โดยเฉพาะไม่อยากตายอย่างน่าอนาถแบบนั้นอีก
นางจึงพยายามข่มกลั้นความหวาดกลัวในใจเอาไว้ ใบหน้าส่งยิ้มฝืดเฝื่อนไปให้หลี่เหวยหยวน “พี่ใหญ่ พี่ลองชิมดูเจ้าค่ะ เกี๊ยวไส้หวานนี้อร่อยยิ่งนัก”
โกหก! หลี่เหวยหยวนตัดสินอยู่ในใจเงียบๆ เช่นนี้
นับตั้งแต่หลี่เหวยหยวนได้นั่งลงที่นี่ แม้เขาจะเอาแต่กินโจ๊กไก่ฉีกของตนเองอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ทว่าเขาก็ยังลอบสังเกตคนอื่นๆ ว่ากินอะไรไปบ้างเช่นกัน
หลี่หลิงหว่านกินโจ๊กไก่ฉีกหนึ่งชาม ดื่มชาเมล็ดซิ่งหนึ่งถ้วย กินขนมเปี๊ยะหน้างาและขนมหร่วนเซียงไปอย่างละหนึ่งชิ้น คีบตับเป็ดพะโล้สองครั้ง ฟองเต้าหู้ปรุงรสสี่ครั้ง ทั้งยังกินรากบัวเชื่อมน้ำตาลดอกกุ้ยไปอีกชิ้นหนึ่ง มีเพียงเกี๊ยวไส้หวานเท่านั้นที่นางไม่ได้กินมาก่อน แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่าเกี๊ยวไส้หวานนี้รสชาติดี เห็นได้ชัดว่านางพูดโกหก
เหตุใดหลี่หลิงหว่านถึงต้องโกหก จู่ๆ นางมาทำดีกับเขาเช่นนี้เกิดจากอะไรกันแน่ มิหนำซ้ำนางยังดูหวาดกลัวเขาอย่างเห็นได้ชัด ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่รอยยิ้มบนใบหน้านางคงไม่ดูฝืดฝืนถึงเพียงนั้นหรอก และถ้านางกลัวเขา เหตุใดถึงยังต้องทำดีกับเขาด้วย
ความรู้สึกในใจหลี่เหวยหยวนเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร ทั้งไม่ได้สนใจหลี่หลิงหว่านแล้วด้วย เขาเพียงแค่หันกลับมากินโจ๊กไก่ฉีกในชามของตนเองต่อไปเงียบๆ
จวบจนกระทั่งมื้ออาหารนี้สิ้นสุดลง หลี่เหวยหยวนก็ไม่ได้แตะต้องเกี๊ยวไส้หวานชิ้นนั้นที่หลี่หลิงหว่านคีบมาวางบนจานแต่อย่างใด