หลี่หลิงหว่านจึงไม่พูดอะไรอีก นางเอาแต่ตีสีหน้าเย็นชา คอยนำผ้าไปชุบน้ำในอ่าง ขยี้เล็กน้อยแล้วบิดจนหมาด จากนั้นก็นำไปประคบบริเวณรอยแผลอื่นๆ บนร่างกายเขาอีกครั้ง
เริ่มจากลำคอ ต่อด้วยหลังมือทั้งสอง จากนั้นจึงเป็นใบหน้า
โชคดีที่บนใบหน้าเขามีเพียงบริเวณแก้มขวาที่มีรอยเลือดเป็นเส้นอยู่รอยหนึ่ง ยังไม่ถือว่ายาวมาก หลี่หลิงหว่านบิดผ้าในมือจนหมาด ทั้งยังสะบัดน้ำบนมือ ก่อนยื่นมือส่งผ้าผืนนั้นไปให้ “ประคบเองเจ้าค่ะ”
หลี่เหวยหยวนไม่เอ่ยอะไร เพียงรับผ้ามาแล้วยกขึ้นประคบลงบนแก้มขวาเงียบๆ
อาศัยช่วงที่เขาประคบใบหน้าสักพักนี้ หลี่หลิงหว่านก็เปิดฝาตลับยาทาแก้ฟกช้ำออก ใช้นิ้วมือควักเนื้อยาออกมาแล้วทาลงบนบาดแผลของเขาอย่างนุ่มนวล
รอจนทายาที่แผลบริเวณลำคอและหลังมือเรียบร้อยแล้ว ตอนที่มาถึงแก้มขวาของเขา หลี่หลิงหว่านก็ยื่นตลับยาในมือส่งไปให้ แสดงออกชัดเจนว่าต้องการให้หลี่เหวยหยวนเป็นผู้ทาเอง
ทว่าหลี่เหวยหยวนกลับไม่รับ สายตาจ้องเขม็งไปที่หลี่หลิงหว่านแล้วเอ่ยอย่างจริงจังยิ่ง “ข้ามองไม่เห็นบาดแผล ทาเองไม่ได้ เจ้าทาให้ข้าทีเถอะ”
เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับหลี่หลิงหว่าน นางเดินไปยังห้องรองปีกตะวันออก หยิบกระจกทรงกลมขนาดไม่ใหญ่นักออกมา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปอีกครั้ง “ส่องกระจกทาเจ้าค่ะ”
สายตาหลี่เหวยหยวนมองหลี่หลิงหว่านอยู่อีกสักพักก่อนจะยื่นมือมา ทว่าเขาไม่ได้ยื่นออกไปรับกระจกแต่กุมข้อมือของนาง ส่วนมืออีกข้างของเขาก็นำกระจกในมือนางวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับยืนกรานเอ่ย “หว่านวาน ทายาให้ข้า”
หลี่หลิงหว่านเลิกคิ้ว ที่ผ่านมานางมีนิสัยคล้อยตามผู้อื่นมาโดยตลอด ยามนี้เห็นหลี่เหวยหยวนยอมโอนอ่อนให้แล้ว นางจึงแค่นเสียงเย็นชาออกมาคราหนึ่งก่อนเอ่ย “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่จวนก่วงผิงโหวคนบางคนไม่ใช่ร้ายกาจนักหรือ ตอนที่จับข้อมือข้าเกือบจะหักข้อมือข้าอยู่แล้ว เมื่อครู่คนบางคนเองก็ไม่ใช่ว่าผยองนักหรือ พูดว่า ‘เหตุใดตอนนี้เจ้าต้องถามว่าข้าเจ็บหรือไม่ด้วย’ พี่ทั้งร้ายกาจทั้งทะนงตนขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นต้องให้ข้าช่วยทายาให้พี่อีกหรือ พี่ทาเองสิเจ้าคะ”
กล่าวจบนางก็เริ่มขัดขืน อยากจะดึงข้อมือตนเองออกมาจากฝ่ามือของหลี่เหวยหยวน
แต่หลี่เหวยหยวนไม่ยอมปล่อยมือ เขายังออกแรงน้อยๆ ดึงหลี่หลิงหว่านมาอยู่ใกล้ตัวเขามากขึ้น ยื่นมือรั้งแขนเสื้อของนางขึ้นแล้วมองไปที่ข้อมือขวาของนางอย่างละเอียด ดูว่าตอนอยู่ที่จวนก่วงผิงโหวเขาได้เผลอทำให้นางเจ็บเข้าแล้วจริงๆ หรือไม่
ยามนี้แม้เวลาจะผ่านไปนานมากแล้ว แต่พอเขามองไปก็ยังคงเห็นว่าที่ข้อมือขวาซึ่งขาวเนียนกว่าหยกของหลี่หลิงหว่านยังมีรอยรัดสีชมพูปรากฏชัดเจนยิ่ง
หลี่เหวยหยวนรู้สึกผิด กระทั่งน้ำเสียงยังต่ำลง “หว่านวาน ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรทำร้ายเจ้า แต่ตอนนั้นข้า…ข้า…”
ยามนั้นหลี่หลิงหว่านทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องของฉุนอวี๋ฉี เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่เหลือสติอะไรแล้ว แทบอยากจะกักขังนางอยู่ข้างกายตนเองอย่างแน่นหนา ให้ต่อจากนี้นางไม่อาจพบเจอฉุนอวี๋ฉีได้อีก
หลี่หลิงหว่านถอนหายใจอยู่ในใจสักพัก ทว่าต่อมานางก็สบายใจขึ้นไม่น้อย เห็นท่าทางรู้สึกผิดของหลี่เหวยหยวนในตอนนี้แล้ว เห็นทีนางคงไม่ต้องเปลืองแรงใจคิดหาทางขอคืนดีให้เขาหายโกรธอีก
ยิ่งมองไปยังรอยเลือดบนแก้มของหลี่เหวยหยวนรอยนั้นแล้วก็ชวนให้คนตกใจจริงๆ นางถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นจึงหยิบตลับยา ยกมือขึ้นทายาให้เขาอย่างปลงตก ระหว่างที่ทายังเอ่ยกับเขาด้วยว่า “วันหน้าพี่อย่าได้ทำตัวโง่งมเช่นนี้อีกได้หรือไม่ เวลาถูกคนทำร้ายก็ต้องหลบหน่อยสิ ไม่ได้เสียหน้าสักหน่อย”
หลี่เหวยหยวนกำลังนั่ง ส่วนหลี่หลิงหว่านยืนอยู่ ระหว่างทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก ใกล้เสียจนปลายจมูกของหลี่เหวยหยวนสามารถได้กลิ่นเบาบางคล้ายกับกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้จากร่างของนาง ยามนี้มือข้างหนึ่งของนางยังจับแก้มของเขาเบาๆ หันแก้มข้างขวาที่ได้รับบาดเจ็บของเขาเข้าไปใกล้แสงเทียน นางจะได้ทายาสะดวกมากขึ้น
มือของนางเนียนนุ่ม ทั้งยังขาวราวกับแกะสลักออกมาจากหยกขาวมันแพะชั้นดีที่สุดอย่างไรอย่างนั้น หลี่เหวยหยวนนึกถึงประโยคโบราณที่กล่าวว่า ‘มือเรียวราวหญ้าหางกระรอก’ คิดดูแล้วก็คงประมาณนี้กระมัง