ในใจหลี่หลิงหว่านรู้สึกผิดอยู่บ้างจริงๆ ดังนั้นกับคำพูดที่ดูถูกนางเช่นนี้ของหลี่เหวยหยวน นางจึงทำเพียงยกมือขึ้นลูบจมูกและยิ้มโง่ๆ ออกมา ทว่ารอยยิ้มโง่งมของนางก็มีอันต้องแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
บริเวณสวนเสาเย่าที่ด้านหน้านั้น หลี่หลิงเยี่ยนกำลังยืนอยู่กับเหลียงเฟิงอวี่ หากมีเพียงพวกเขาสองคนก็แล้วไปเถอะ แต่ที่นั่นกลับมีฉุนอวี๋ฉียืนอยู่กับพวกเขาด้วย กำลังเอียงศีรษะน้อยๆ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง ไม่รู้ว่ากำลังฟังหลี่หลิงเยี่ยนเอ่ยอะไร แต่หลี่หลิงเยี่ยนมีใบหน้าสีชมพูระเรื่อ สนทนากับเขาด้วยสีหน้าเขินอาย
หลี่หลิงหว่านนึกทอดถอนใจขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ยังไม่พูดถึงเรื่องที่หลี่หลิงเยี่ยนกับเหลียงเฟิงอวี่มาอยู่ด้วยกันในสวนดอกไม้แห่งนี้ได้อย่างไร พูดแค่ว่าในสวนดอกไม้กว้างใหญ่แห่งนี้ หลี่หลิงเยี่ยนกลับสามารถพบกับฉุนอวี๋ฉีได้ นอกจากคำว่า ‘โชคชะตา’ คำนี้แล้วยังจะพูดอะไรได้อีก อีกทั้งมองดูหลี่หลิงเยี่ยนกับฉุนอวี๋ฉีในตอนนี้ เรียกได้ว่าสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก ในใจฉุนอวี๋ฉีจะต้องเกิดความรู้สึกดีๆ ให้นางแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นในภายภาคหน้าฉุนอวี๋ฉีเองก็ต้องกลายเป็นนิ้วทองคำของหลี่หลิงเยี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นหากภายหลังหย่งฮวนโหวรู้ว่าหลี่หลิงเยี่ยนเป็นบุตรสาวสุดที่รักของสตรีที่ตนรักมิรู้ลืมก็จะยิ่งเมตตาเอ็นดูนางมากขึ้นไปอีก ถึงขั้นมีความคิดที่จะให้ฉุนอวี๋ฉีแต่งงานกับหลี่หลิงเยี่ยน
เมื่อตนเองไม่อาจครองคู่เป็นสามีภรรยากับซุนหลันอี เช่นนั้นก็เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันก็ได้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไม่สำเร็จ เนื่องจากมีพระราชโองการฉบับหนึ่งของฮ่องเต้ขัดขวางเข้าเสียก่อน
ยามนี้หลี่เหวยหยวนก็มองเห็นฉุนอวี๋ฉี หลี่หลิงเยี่ยน และเหลียงเฟิงอวี่แล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดยิ่งว่าเขาไม่อยากจะเดินขึ้นหน้าไปทักทายพวกเขา เขาจึงดึงมือหลี่หลิงหว่านตั้งใจให้นางตามเขาจากไป
หลี่หลิงหว่านเดินตามหลี่เหวยหยวนมาอย่างเชื่อฟังยิ่ง นางเองก็ไม่อยากเดินเข้าไปทักทายฉุนอวี๋ฉี เหลียงเฟิงอวี่ และหลี่หลิงเยี่ยนเช่นกัน มองดูพวกเขารักใคร่สนิทสนม ถึงขั้นสุดท้ายอาจจะจับกลุ่มกันอยู่ข้างกายหลี่หลิงเยี่ยน ช่วยเหลืออีกฝ่ายรับมือนางกับหลี่เหวยหยวน เช่นนั้นมันจะปวดใจเกินไปแล้ว อีกอย่างนางกับฉุนอวี๋ฉีก็เพิ่งได้พบหน้ากัน หากประเดี๋ยวฉุนอวี๋ฉีไม่ทันระวังจนหลุดปากเอ่ยอะไรออกมา ไม่แน่ว่าหลี่เหวยหยวนอาจจะทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ดังนั้นช่างเถอะ ล่วงเกินไม่ได้ก็หลีกเลี่ยงเสียดีกว่า
แต่น่าเสียดายนัก นางกับหลี่เหวยหยวนเดินไปไม่ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงของเหลียงเฟิงอวี่ผู้นั้นดังขึ้นมาอย่างร้อนรน “น้องหว่าน”
จากนั้นก็เป็นเสียงรองเท้าหุ้มข้อดังขึ้น ก่อนจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเหลียงเฟิงอวี่ปรากฏขึ้นตรงหน้านางกะทันหัน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “ข้าหาเจ้าพบจนได้”
คิ้วเรียวยาวของหลี่เหวยหยวนขมวดเข้าหากัน เขาขยับตัวมาบังด้านหน้าหลี่หลิงหว่านอย่างแนบเนียน ขวางกั้นระหว่างนางกับเหลียงเฟิงอวี่เอาไว้
ฉุนอวี๋ฉีที่กำลังเดินตามมากับหลี่หลิงเยี่ยนก็ได้เห็นภาพนี้เข้าพอดี ในใจลอบคิดว่า หลี่เหวยหยวนปกป้องหลี่หลิงหว่านอย่างเคร่งครัดมากจริงๆ ราวกับไม่ยินยอมให้บุรุษคนไหนได้เข้าใกล้นางอย่างไรอย่างนั้น
ฉุนอวี๋ฉีหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลี่เหวยหยวน ผงกศีรษะให้เขาก่อนยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย “สหายหลี่” จากนั้นก็ผงกศีรษะและยิ้มน้อยๆ ให้กับหลี่หลิงหว่านที่กำลังโผล่ศีรษะออกมาครึ่งหนึ่งจากด้านหลังหลี่เหวยหยวน “คุณหนูหลี่ บังเอิญนัก พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
หลี่หลิงหว่านหัวใจกระตุก คำว่า ‘อีกแล้ว’ ของเจ้าคำนี้ช่างชวนให้ผู้คนคิดลึกซึ้งไปไกลจริงๆ หวังว่าหลี่เหวยหยวนจะไม่คิดมาก แค่คิดว่าข้ากับฉุนอวี๋ฉีเคยพบกันที่สวนอั้นเซียงแห่งนั้นครั้งหนึ่งก็พอ
ทว่าเบื้องหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงยิ้มเอ่ยกับฉุนอวี๋ฉีอย่างมีมารยาท “ใช่แล้ว บังเอิญยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่กับน้องสี่ต่างรู้จักคุณชายฉุนอวี๋มาก่อนแล้วหรือ” น้ำเสียงอ่อนหวานของหลี่หลิงเยี่ยนดังขึ้น “เช่นนี้ก็หมายความว่าข้าเป็นคนที่ได้รู้จักคุณชายฉุนอวี๋ช้าสุดสินะเจ้าคะ”
พูดมาถึงตรงนี้ดวงตาใสกระจ่างของหลี่หลิงเยี่ยนก็มองไปยังฉุนอวี๋ฉีด้วยแววตาเปล่งประกาย