นางขยับไปมาบนตั่งเตี้ย พยายามหาท่านั่งที่สะดวกสบายที่สุด เมื่อเห็นหลี่เหวยหยวนนั่งลงบนเก้าอี้พนักโค้งที่เสี่ยวซานเพิ่งยกมาให้พร้อมหยิบตำราเล่มหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมาอ่าน นางจึงเอ่ยถาม “พี่ชาย พี่จะสอบฮุ่ยซื่อแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
การสอบฮุ่ยซื่อจัดขึ้นในวันที่เก้าเดือนสอง หลี่หลิงหว่านป่วยมาหลายวันเช่นนี้ เทศกาลหยวนเซียวในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งเพิ่งผ่านพ้นไป นับดูแล้วระยะห่างจากการสอบฮุ่ยซื่อก็เหลือประมาณยี่สิบกว่าวันเท่านั้น
หลี่เหวยหยวนไม่ได้เอ่ยอะไร สายตายังคงอยู่บนตำรา เขาแค่ผงกศีรษะรับเท่านั้น
หลี่หลิงหว่านเห็นว่าระยะนี้หลี่เหวยหยวนทุ่มเทอ่านตำรามากขึ้นไปอีก นางกังวลว่าเขาจะเครียดจึงเอ่ยปลอบเขา “พี่ชาย พี่อย่าได้เครียดเกินไปนัก พี่จะต้องเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ว่าอย่างไรพี่ก็ต้องสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้อย่างแน่นอน”
มือที่ถือตำราของหลี่เหวยหยวนชะงัก เขาไม่สงสัยเลยสักนิดเรื่องที่ตนจะสอบผ่านจนได้เป็นจิ้นซื่อ เพราะเขาก็มีความเชื่อมั่นในตนเองอยู่ แต่ที่ทำให้ต้องเคร่งเครียดเช่นนี้เพราะเขาได้ยินมาว่าฉุนอวี๋ฉีเองก็เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เขาจึงเอาแต่คิดอยากให้ชื่อของตนเองเอาชนะฉุนอวี๋ฉีให้ได้
พูดไปแล้วแม้เขากับฉุนอวี๋ฉีจะได้พบหน้ากันเพียงแค่สองครั้ง แต่ในใจเขาก็รับรู้ได้ว่าฉุนอวี๋ฉีเป็นผู้มีความสามารถยิ่งคนหนึ่ง และไม่รู้ด้วยสาเหตุใดเขาจึงไม่อยากแพ้ให้กับฉุนอวี๋ฉีเป็นอย่างยิ่ง
อาจเป็นเพราะหาได้ยากยิ่งที่หลี่หลิงหว่านจะสนิทสนมกับใครสักคนตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรก ครั้งนั้นที่สวนอั้นเซียงกับคำเชิญส่งๆ ประโยคหนึ่งของฉุนอวี๋ฉี นางก็ตอบรับอย่างยินดี ภายหลังตอนอยู่ที่จวนก่วงผิงโหว นางยังถึงขั้นขัดแย้งกับเขาเพื่อฉุนอวี๋ฉีด้วย
มือที่ถือตำราของหลี่เหวยหยวนบีบแน่นขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แววตาก็ดำทะมึน ข้าจะต้องเอาชนะฉุนอวี๋ฉีให้ได้
หลี่หลิงหว่านไม่ได้รู้เรื่องที่ฉุนอวี๋ฉีจะเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อแต่อย่างใด เนื่องจากในนิยายนางไม่ได้วางให้ฉุนอวี๋ฉีเดินไปบนเส้นทางการสอบเคอจวี่ แต่ให้ใช้สถานะหย่งฮวนโหวซื่อจื่อของเขาเข้าไปอยู่ในราชสำนักโดยตรง ในตอนที่หลี่หลิงหว่านรู้ว่าฉุนอวี๋ฉีจะเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้ด้วยนั้น นางจึงตกใจมากจริงๆ
นางย่อมรู้ถึงความสามารถของฉุนอวี๋ฉีว่าจะต้องไม่ด้อยกว่าหลี่เหวยหยวนอย่างแน่นอน ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันเสียได้ นางกัดริมฝีปากพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด เกรงว่าการจะสอบได้เป็นซานหยวนจี๋ตี้ทั้งสามสนามของหลี่เหวยหยวนจะค่อนข้างลำบากแล้ว
ทว่ายังดีที่ยามที่แผ่นป้ายอันดับของการสอบฮุ่ยซื่อถูกประกาศออกมา หลี่เหวยหยวนยังคงได้เป็นฮุ่ยหยวน ส่วนฉุนอวี๋ฉีครองอันดับสอง ขณะที่หลี่หลิงหว่านก็เปลี่ยนมากังวลกับการสอบเตี้ยนซื่อแทนแล้ว
การสอบเตี้ยนซื่อจัดขึ้นในเดือนสี่ ฮ่องเต้จะทรงเป็นผู้ตั้งคำถาม จิ้นซื่อทั้งหมดจะได้เข้าไปในตำหนักใหญ่ของวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่ ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้คุมสอบด้วยพระองค์เอง ยามดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าก็ให้ส่งกระดาษคำตอบขึ้นไป
วันนี้ทุกคนในจวนสกุลหลี่ต่างจิตใจกระวนกระวายตลอดทั้งวัน หลี่หลิงหว่านยิ่งร้อนใจจนรออยู่ที่จวนไม่ไหว หลังบอกกล่าวฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็พาบ่าวรับใช้ของสกุลหลี่ติดตามออกไปด้วย ก่อนจะนั่งรถม้าไปที่บริเวณหน้าวังหลวง หาหอสุราที่ดูดีแห่งหนึ่งนั่งลง สั่งให้บ่าวรับใช้ของจวนเฝ้าอยู่หน้าประตูวัง หากมองเห็นคุณชายใหญ่กับคุณชายรองออกมาแล้วก็ให้รีบมารายงานนางทันที
การสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้หลี่เหวยหลิงเองก็สอบผ่าน เพียงแต่ชื่อของเขาค่อนข้างรั้งไปข้างหลัง ทว่าไม่ว่าอย่างไรการที่อายุเท่าเขาแล้วสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้เช่นนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนต้องมองดูเขาแล้ว
ในยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปถึงขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เสี่ยวซานก็วิ่งเข้ามาเอ่ยรายงาน “คุณหนู บ่าวรับใช้แจ้งว่าเห็นคุณชายใหญ่ออกมาจากประตูวังแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็รีบวางถ้วยชาในมือ ก่อนจะวิ่งลงจากชั้นสองออกจากประตูหอสุราไป
บ่าวรับใช้ยืนชี้นิ้วอยู่ด้านหน้า เมื่อหลี่หลิงหว่านมองตามมือของเขาไปก็ได้เห็นหลี่เหวยหยวนกำลังเดินออกมาท่ามกลางฝูงชน
เขาสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมสีหยก รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม หน้าตาคมคาย ต่อให้มีผู้คนอยู่มากมายกว่านี้นางก็ยังคงมองเห็นเขาได้ในพริบตาเดียว
นางวิ่งเข้าไปหาหลี่เหวยหยวน จากนั้นก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยปากเรียกเขาเสียงใส “พี่ชาย”
แสงอาทิตย์อัสดงอาบร่าง สีกุหลาบแดงสะท้อนอยู่บนแก้มขาวกระจ่างดุจหิมะของนาง รูปโฉมงดงามหาใดเปรียบ
รอบด้านเริ่มมีสายตาของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ มองมาไม่น้อยแล้ว