ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 7-8
ดวงตาหลี่เหวยหยวนดำมืดลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของหลี่หลิงหว่านทันที ทั้งยังดึงตัวนางมากักไว้ในอ้อมกอดของตนเองเสียเลย ฝังใบหน้าของนางลงไปในอ้อมอกของตน ก่อนจะพาตัวนางเดินไปทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเดินเข้ามาในร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้างแล้ว หลี่เหวยหยวนถึงได้ผ่อนแรงที่รั้งตัวนางมา ปล่อยให้นางดิ้นรนออกจากอ้อมกอดเขาได้ในที่สุด ทั้งยังเอ่ยปากตำหนินาง “ที่นี่มีคนมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าจะออกมาทำอะไร”
หลี่หลิงหว่านถูกเขาต่อว่าจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ทว่าในใจก็ยังรู้สึกไม่ยินยอมอยู่หลายส่วน นางจึงเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ก็ไม่ใช่เพราะข้าเป็นห่วงหรือไร”
หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ ที่นางเป็นห่วงนั้นเขาย่อมเข้าใจ ทั้งในใจเองก็ยินดีมากด้วย เพียงแต่รูปโฉมของหลี่หลิงหว่านนับว่าโดดเด่นเกินไปแล้วจริงๆ นางออกมาเช่นนี้จะต้องมีสายตาหลงใหลของบุรุษมองมาที่นางเป็นแน่ และเขาก็ไม่ชอบให้มีสายตาของบุรุษคนใดมองมาที่นางเป็นที่สุด ทุกครั้งเขาล้วนเกิดความรู้สึกวู่วามจนอยากจะควักดวงตาของบุรุษที่มองหลี่หลิงหว่านเสมอ
แต่เขาก็ตัดใจดุหลี่หลิงหว่านจริงๆ ไม่ลงเสียที เมื่อเห็นท่าทางที่ยอมลงให้ของนางแล้ว เขาก็ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ย “อยู่ที่บ้านดีๆ อย่างเชื่อฟัง รอให้ข้ากลับไปไม่ดีกว่าหรือ เจ้าออกมาพบเจอผู้คนมากมายที่ดูวุ่นวายเช่นนี้ พี่ชายเป็นห่วง”
หลี่หลิงหว่านนึกในใจ นี่จะถือว่าเป็นผู้คนมากมายที่ดูวุ่นวายได้อย่างไร นึกถึงในปีนั้นช่วงวันหยุดวันแรงงาน นางได้ไปเที่ยวทะเลสาบซีหูครั้งหนึ่ง เช่นนั้นจึงจะเรียกว่า ‘ผู้คนมากมาย’ ได้จริงๆ ยามที่นางยืนอยู่ข้างทะเลสาบซีหูและมองไปยังสะพานต้วนเฉียวนั้น ทุกหนแห่งก็ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน แต่ละย่างก้าวล้วนเดินได้ยากลำบากโดยแท้
แต่คำพูดประเภทนี้ย่อมไม่อาจเอ่ยกับหลี่เหวยหยวนได้ หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยอย่างยอมแพ้อยู่บ้าง “เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว”
พวกเขาเข้ามาในร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่ง ภายในร้านไม่มีลูกค้าเลยสักคน คนงานในร้านมองเห็นหลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่านสวมอาภรณ์หรูหราแล้วก็รู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะต้องเป็นคุณหนูคุณชายจากตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน เขาจึงรีบร้อนเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุณหนู ท่านลองดูเครื่องประดับภายในร้านของข้าน้อยนี้เถิด หากมีที่ท่านชื่นชอบก็สามารถพกกลับไปสักชิ้นสองชิ้นได้” ทั้งยังยิ้มเอ่ยกับหลี่เหวยหยวน “คุณชายผู้นี้ เครื่องประดับภายในร้านของข้าน้อยนับว่าประณีตงดงามยิ่ง หากนำไปมอบให้สตรีในดวงใจย่อมเป็นเรื่องที่ดีเสียยิ่งกว่าดี ท่านลองเลือกดูขอรับ”
เขาเห็นว่าผมของหลี่หลิงหว่านยังคงเกล้าเป็นทรงของสตรีที่ยังไม่แต่งงาน จึงคิดว่าทั้งสองคนจะต้องไม่ใช่สามีภรรยากันแน่ แต่เมื่อเห็นหลี่เหวยหยวนปฏิบัติต่อหลี่หลิงหว่านอย่างใกล้ชิด ทั้งน้ำเสียงที่ใช้ก็สนิทสนม เขาจึงคิดไปว่าทั้งสองคนเป็นคู่รักคู่หนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าประโยคนี้ของคนงานเพิ่งกล่าวจบ เขาก็เห็นหลี่หลิงหว่านเอียงศีรษะยิ้มถามหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย พี่มีสตรีในดวงใจหรือไม่ เป็นคุณหนูสกุลใดกัน”
คนงานผู้นั้นมองจนอึ้งไปทันที ไม่นึกเลยว่าสองคนนี้จะเป็นพี่น้องกัน มองดูสายตารักใคร่ที่คุณชายมองคุณหนูผู้นี้แล้ว ยังจะมีพี่ชายตระกูลใดที่ปฏิบัติต่อน้องสาวเช่นนี้อีกเล่า
ชั่วขณะนั้นหลี่หลิงหว่านก็นิ่งอึ้งไปแล้วเช่นกัน เพราะเมื่อนางเอียงศีรษะมองขึ้นไปก็เห็นว่าบนผนังแขวนพิณเหยาฉิน เอาไว้คันหนึ่ง
เดิมทีในร้านขายเครื่องประดับจะแขวนพิณเหยาฉินคันหนึ่งเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่แปลกนั้นอยู่ที่ว่าพิณเหยาฉินโดยทั่วไปจะมีอยู่เจ็ดสาย ทว่าพิณเหยาฉินคันนี้กลับมีอยู่สิบสามสาย ทั้งยังมีฮุย ที่ทำจากทองคำและลูกบิดหยก ประดับด้วยพู่ระย้าสีเขียวเข้ม…
ในใจหลี่หลิงหว่านตกตะลึง นางหันกลับไปมองเครื่องแต่งกายของคนงานผู้นั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าลายดอกไม้บริเวณปกคอและชายเสื้อของเขาค่อนข้างพิเศษอยู่บ้างดังคาด นี่มิใช่เป็นการบอกว่าร้านขายเครื่องประดับที่มองดูไม่โดดเด่นแห่งนี้แท้ที่จริงก็คือสำนักลับที่นางออกแบบเอาไว้หรือ…สำนักหวงจี๋?!
นี่เป็นถึงนิ้วทองคำที่สำคัญยิ่งสำหรับเซี่ยอวิ้น หากไม่มีนิ้วทองคำนี้ สุดท้ายแล้วเขาจะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ยังพูดยาก แต่ตอนนี้…ฮ่าๆ… หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อนับวันเวลาดูแล้วก็พบว่าเซี่ยอวิ้นยังไม่ทราบชาติกำเนิดของตนเอง เขายังไม่มีโอกาสได้ใช้นิ้วทองคำนี้ นี่มิใช่หมายความว่านางสามารถนำนิ้วทองคำนี้มาใช้ได้หรือ
หลี่เหวยหยวนเห็นหลี่หลิงหว่านเหม่อลอย เขาก็คิดไปว่านางกำลังคิดถึงสตรีในใจเขา ดังนั้นจึงไม่สบายใจขึ้นมา
เขาย่อมชื่นชอบที่ได้เห็นหลี่หลิงหว่านหวงเขา แต่ก็ปวดใจที่นางไม่มีความสุข เขาจึงลูบศีรษะหลี่หลิงหว่านเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องคิดเหลวไหลไป ไม่มีผู้ใดสำคัญในใจพี่ชายเท่ากับหว่านวานอีกแล้ว” ก่อนจะจูงมือนางเดินไปด้านข้างชั้นวางสินค้า และมองดูเครื่องประดับเหล่านั้นอย่างละเอียดพร้อมเอ่ย “หว่านวาน เจ้าดูเครื่องประดับเหล่านี้สิ หากมีที่ชอบ พี่ชายจะซื้อให้เจ้า”
หลี่หลิงหว่านได้สติกลับมา ก่อนจะก้มหน้ายิ้มฝืดเฝื่อน
แม้หลี่เหวยหยวนจะเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างใจป้ำเช่นนี้ก็อย่าได้คิดว่าเขาจะมีเงินมากเลย นางรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีเงินเท่าไรนัก ทุกๆ เดือนเขาได้เงินรายเดือนเพียงแค่สองตำลึงเท่านั้น ด้วยความที่เขาชื่นชอบการอ่านตำรา ซ้ำยังอ่านได้รวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานเขาก็ต้องไปเลือกตำราหลายเล่มจากร้านหนังสือกลับมาแล้ว เงินรายเดือนเดือนหนึ่งพอให้เขาซื้อตำราได้สักกี่หนกัน หลี่เหวยหยวนก็เป็นคนเช่นนี้ ยินยอมประหยัดในด้านอื่นๆ มากหน่อย แต่ไม่มีทางประหยัดกับเรื่องหนังสือเป็นอันขาด