ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 7-8
หลี่หลิงหว่านปฏิเสธในทันที “พี่ชาย ข้ายังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีกมากมายนัก หลายๆ ชิ้นก็ยังไม่เคยสวมใส่มาก่อน ไหนเลยจะต้องซื้อของพวกนี้อีก พวกเราไปดูกันเถอะว่าพี่รองออกมาหรือยัง หากเขาออกมาแล้วพวกเราก็ไปรวมตัวกับเขาแล้วกลับบ้านด้วยกันเถอะ ท่านย่ายังรอพวกพี่กลับไปอย่างร้อนใจอยู่นะเจ้าคะ”
แต่หลี่เหวยหยวนกลับไม่ได้เดินออกไป เขามองชั้นวางสินค้าอย่างตั้งใจพักหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นมือออกไปหยิบปิ่นระย้าผีเสื้ออันหนึ่งขึ้นมา
วัตถุดิบไม่นับว่าดี เป็นทองคำผสม ทว่ารูปแบบกลับประณีตยิ่ง ตัวปิ่นที่ดัดเป็นลายเมฆาประดับด้วยผีเสื้อสยายปีกสองตัว ใต้ปีกของผีเสื้อแต่ละตัวยังห้อยไว้ด้วยพู่มุก
หลังยกมือขึ้นเสียบปิ่นระย้าผีเสื้ออันนี้ไว้บนมวยผมหลี่หลิงหว่าน หลี่เหวยหยวนก็รู้สึกละอายใจยิ่ง “ตอนนี้พี่ชายสามารถซื้อให้เจ้าได้แค่เท่านี้ แต่วันหน้าพี่ชายจะต้องซื้อที่ดีกว่านี้ให้เจ้าแน่นอน”
หลี่หลิงหว่านยกมือขึ้นลูบพู่ของปิ่นระย้า จากนั้นก็เงยหน้ายิ้มแย้มสดใสให้เขา “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะรอนะเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนผงกศีรษะให้นางอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยสัญญา “วันหน้าข้าจะต้องนำเครื่องประดับทั้งหมดในใต้หล้านี้มาวางไว้ตรงหน้าเจ้า ให้เจ้าเลือกได้ตามใจ”
หลี่หลิงหว่านคิดในใจอย่างมีความสุข มีพี่ชายที่ในอนาคตจะได้เป็นถึงเสนาบดี ทั้งยังรักใคร่เอ็นดูตนเองเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ นางตัดสินใจแล้ว วันหน้าจะต้องกอดท่อนขาทองคำของหลี่เหวยหยวนเอาไว้ไม่ปล่อยมือ
ยามนั้นเองก็ได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ดังขึ้นมาจากข้างนอก “คุณชายรอง คุณชายใหญ่กับคุณหนูสี่อยู่ในร้านขอรับ”
เห็นทีหลี่เหวยหลิงจะมาแล้ว หลี่หลิงหว่านรีบออกไปต้อนรับที่ประตู หลี่เหวยหยวนจ่ายเงินแล้วก็ค่อยๆ เดินตามหลังนางไปอย่างช้าๆ
ตอนเด็กๆ หลี่เหวยหลิงมักจะเยาะเย้ยเสียดสีเขาอยู่เสมอ ทว่าต่อมาได้หลี่หลิงหว่านคอยไกล่เกลี่ยอยู่ตรงกลาง รวมกับที่อายุของเขากับหลี่เหวยหลิงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ต่อให้ในใจต่างฝ่ายจะยังรู้สึกไม่ถูกชะตา แต่อย่างน้อยฉากหน้าก็ยังนับว่าอยู่ร่วมกันได้
รอจนม่านของประตูร้านถูกเลิกขึ้น หลี่เหวยหยวนก็พบว่าผู้ที่เข้ามาไม่ได้มีแต่หลี่เหวยหลิง ยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อน เรือนร่างสูงโปร่ง กิริยาสง่างาม…เป็นฉุนอวี๋ฉีนั่นเอง
ฝีเท้าที่เดินไปด้านหน้าของหลี่เหวยหยวนพลันชะงัก แม้แต่สีหน้าก็ทะมึนลง
พอหลี่หลิงหว่านได้เห็นฉุนอวี๋ฉีแล้ว ฝีเท้าของนางก็หยุดลง ในใจคิดว่า เหตุใดแค่ออกมาจากร้านก็สามารถพบเขาได้แล้วเล่า
ทว่าฉุนอวี๋ฉีกำลังหันหน้าไปคุยกับหลี่เหวยหลิง ชั่วขณะนั้นจึงยังไม่เห็นพวกเขา
ฉุนอวี๋ฉีได้พบกับหลี่เหวยหลิงตอนที่อยู่ในจวนก่วงผิงโหว เมื่อครู่ได้เจอกันพอดี หลี่เหวยหลิงจึงเอ่ยชวนเขามาสนทนาร่วมกัน ภายหลังเดินมาถึงประตูของร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้ ได้ยินบ่าวรับใช้ของจวนสกุลหลี่เรียกหลี่เหวยหลิง บอกว่าคุณชายใหญ่กับคุณหนูสี่กำลังรอเขาอยู่ข้างในร้าน ฉุนอวี๋ฉีจึงติดตามหลี่เหวยหลิงมาด้วยกัน
เขารู้ว่าในบรรดาบุตรหลานสกุลหลี่ หลี่หลิงหว่านอยู่อันดับสี่ คุณหนูสี่ผู้นี้จะต้องเป็นหลี่หลิงหว่านอย่างแน่นอน และยามที่เขาเงยหน้าก็เห็นหลี่หลิงหว่านจริงดังคาด
ขณะนี้คือเดือนสี่ เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น หลี่หลิงหว่านสวมเสื้อตัวสั้นสีชมพูอ่อน กระโปรงหลัวฉวิน* สีเขียวลายกลุ่มดอกไม้ บริเวณเอวคาดผ้าไหมสีชมพูอ่อน ขับเน้นช่วงเอวบางของนางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉุนอวี๋ฉีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะประสานมือคารวะแล้วยิ้มอย่างสง่างาม “คุณหนูหลี่ จากกันหลายเดือน พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
หลี่หลิงหว่านดูอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
คำว่า ‘อีกแล้ว’ ของเจ้าช่างพูดออกมาได้ชวนให้ข้าอกสั่นขวัญผวามากนักจริงๆ
หลังคารวะกลับตามมารยาทและส่งเสียงเรียกคุณชายฉุนอวี๋คำหนึ่งแล้ว หลี่หลิงหว่านก็หันไปมองหลี่เหวยหยวนตามจิตใต้สำนึก
แม้บนใบหน้าของหลี่เหวยหยวนจะไม่ได้แสดงอะไรออกมา เพียงแค่ไม่หลงเหลือรอยยิ้มเช่นเมื่อครู่นี้อีก แต่หลี่หลิงหว่านยังคงสัมผัสได้ว่าในใจหลี่เหวยหยวนน่าจะไม่สบอารมณ์ไปนานแล้ว
หลี่หลิงหว่านเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ คล้ายกับว่าหลี่เหวยหยวนไม่ชอบหน้าฉุนอวี๋ฉียิ่ง แต่นั่นก็ใช่ เพราะเสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน ต่อให้ตอนนี้พวกเขาสองคนยังไม่มีความขัดแย้งใหญ่โตอะไร แต่ช่วยไม่ได้ที่ชะตาชีวิตได้กำหนดให้ภายภาคหน้าพวกเขาจะต้องเป็นปรปักษ์กัน เกรงว่ายามนี้พวกเขาคงจะสัมผัสเรื่องที่ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูของกันและกันได้แล้ว
หลี่หลิงหว่านมองหลี่เหวยหยวนสลับกับมองฉุนอวี๋ฉี คิดแล้วก็รู้สึกเสียดายมากจริงๆ มังกรท่ามกลางกลุ่มคนเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องลงมือทำร้ายกันเองด้วยเล่า เหตุใดแต่แรกเริ่มนางถึงได้เป็นนักเขียนนิยายรักหวานแหวว แต่ไม่ใช่นักเขียนนิยายชายรักชายนะ
“น้องสี่” ยามนั้นหลี่หลิงหว่านก็ได้ยินเสียงหลี่เหวยหลิงเอ่ยถามนาง “เจ้าเคยเจอหย่งฮวนโหวซื่อจื่อมาก่อนหรือ”
หลี่หลิงหว่านได้สติกลับมา ก่อนจะยิ้มแย้มผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ เคยพบกันอยู่สองสามหน”
เวลาที่หลี่หลิงหว่านยิ้มแย้มช่างชวนให้ผ่อนคลาย ดวงตานางจะเป็นประกาย ข้างแก้มมีลักยิ้มจางๆ ซึ่งชวนให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ กระทั่งอยากจะยิ้มตามไปด้วย
ฉุนอวี๋ฉีมองดูหลี่หลิงหว่านแล้วมุมปากก็หยักโค้งขึ้นน้อยๆ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “การที่มีโอกาสได้รู้จักกับคุณหนูหลี่นับเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติที่สุดตั้งแต่ข้ากลับเมืองหลวงมา”
คำพูดนี้หากตั้งใจครุ่นคิดก็ค่อนข้างมีความคลุมเครืออยู่บ้าง
หลี่หลิงหว่านอึ้งไปเล็กน้อย หลี่เหวยหลิงเองก็รู้สึกประหลาดใจ ขณะที่หลี่เหวยหยวนปั้นหน้าเย็นชา พูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น “หว่านวาน มานี่”
คำพูดของหลี่เหวยหยวนนั้นหลี่หลิงหว่านไม่กล้าไม่ฟัง นางจึงยิ้มขออภัยฉุนอวี๋ฉีก่อนหมุนตัวเดินไปอยู่ข้างกายหลี่เหวยหยวน
หลังจากยื่นมือออกมาจับมือหลี่หลิงหว่านแล้วหลี่เหวยหยวนก็ขยับกายเล็กน้อย บดบังร่างนางเอาไว้ข้างหลังตนเองอย่างแนบเนียน
ฉุนอวี๋ฉีเห็นเช่นนั้น คิ้วเรียวก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
การกระทำนี้ของหลี่เหวยหยวนชัดเจนยิ่ง ราวกับประกาศความเป็นเจ้าของที่เขามีต่อหลี่หลิงหว่านอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน เหตุใดหลี่เหวยหยวนต้องมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะครอบครองหลี่หลิงหว่านให้ได้ขนาดนี้ด้วย หลังจากมองดูแล้วเขาก็ยังนึกสงสัย ไม่รู้เหตุใดหลี่หลิงหว่านต้องเชื่อฟังหลี่เหวยหยวนถึงเพียงนั้น
คิ้วเรียวของฉุนอวี๋ฉีขมวดเล็กน้อย จมอยู่ในความครุ่นคิด
หลี่เหวยหลิงยืนเบ้ปากอยู่ด้านข้าง หลี่เหวยหยวนผู้นี้ยิ่งโต ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองน้องสี่ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนไม่เคยเห็นเขากุมมือน้องสี่ต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เขาไม่รู้จักหลีกเลี่ยงอีกแล้ว ทำราวกับคนรอบข้างล้วนเป็นคนชั่วที่จะมาแย่งหว่านวานของเขาไปอย่างไรอย่างนั้น
กระนั้นในใจหลี่เหวยหลิงก็ยังรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง รอให้ปีหน้าน้องสี่แต่งออกไปแล้ว ถึงยามนั้นผู้ที่จะปกป้องน้องสี่ทุกเรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นสามีของนาง หลี่เหวยหยวน เจ้าเองก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่ที่ด้านข้างเท่านั้น ดูซิว่าเจ้าจะทำอย่างไรได้อีก
จากนั้นพวกเขาก็ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันครู่หนึ่ง ก่อนที่สามพี่น้องสกุลหลี่จะประสานมือกล่าวลาฉุนอวี๋ฉีแล้วกลับจวนไป
ตามกำหนดการ หลังการสอบเตี้ยนซื่อสองวันก็จะมีการประกาศผลสอบ หนึ่งวันก่อนหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ ต่างนอนหลับไม่สนิท รอจนมาถึงวันนั้นก็ได้รับข่าวดี หลี่เหวยหลิงสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตเอกขั้นสามถงจิ้นซื่อชูเซิน หลี่เหวยหยวนสอบผ่านเป็นบัณฑิตเอกขั้นหนึ่ง ได้เป็นจ้วงหยวน วันต่อมาในงานเลี้ยงฉยงหลิน หลี่เหวยหยวนได้รับการแต่งตั้งภายในงานให้เป็นราชอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต ขุนนางลำดับรองขั้นหก ต่อมาหลี่เหวยหลิงเองก็ได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นนายอำเภอในสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของเจียงหนาน
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าทราบก็ปีติยินดีจนเปิดศาลบรรพชน โขกศีรษะและจุดธูปคารวะบรรพบุรุษทุกคนทันที ทั้งยังบอกว่าได้เลือกวันมงคลวันหนึ่งพาทุกคนไปจุดธูปแก้บนที่วัดเฉิงเอินแล้วด้วย
ตั้งแต่หลังปีใหม่มาฮูหยินผู้เฒ่าก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ มาโดยตลอดไม่หายดีเสียที แม้ภายหลังหลี่ซิวป๋อจะได้รับแต่งตั้งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอากรแล้ว แต่การสอบฮุ่ยซื่อและเตี้ยนซื่อกำลังจะมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่อยากทำให้หลี่เหวยหยวนกับหลี่เหวยหลิงต้องเสียสมาธิด้วยเรื่องนี้ นางจึงตั้งใจรอให้พวกเขาสองพี่น้องสอบฮุ่ยซื่อและเตี้ยนซื่อเรียบร้อยแล้วค่อยเข้าไปจุดธูปไหว้พระยังวัดเฉิงเอินทีเดียว ตอนนี้ดียิ่งแล้ว ความปรารถนาทั้งหมดของฮูหยินผู้เฒ่าล้วนกลายเป็นจริง ชั่วขณะหนึ่งบนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความยินดี นางคอยพูดอยู่เสมอว่าต้องการจะไปหล่อพระพุทธรูปทองคำให้แก่วัดเฉิงเอิน
ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลตวนอู่ อาศัยช่วงที่หลี่ซิวป๋อกับคนอื่นๆ ได้วันหยุดพักผ่อน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้พาทุกคนในครอบครัวไปยังวัดเฉิงเอินอย่างเอิกเกริก