หลี่เหวยหยวนเหลือบสายตาขึ้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ ต่างเดินเข้าไปในวัดภายใต้การประคองของสาวใช้นานแล้ว เขาจึงถือร่มมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็เอื้อมมากุมมือของหลี่หลิงหว่าน
ฝ่ามือของหลี่เหวยหยวนทั้งอบอุ่นและมีพลัง เขากุมมือของหลี่หลิงหว่านจับจูงพาเดินขึ้นไปตลอดทาง ภายหลังก็ยังไม่มีความคิดจะปล่อยมือออก
ยังคงเป็นหลี่หลิงหว่านที่สะบัดมือของหลี่เหวยหยวนหลุด นางยืนอยู่ในสถานที่ร่มเย็นซึ่งมีลมพัด มือเท้าสะเอวพลางหอบหายใจน้อยๆ “ไม่ไหว ข้าต้องขอพักเสียหน่อยก่อนจะไปต่อเจ้าค่ะ”
หลี่เหวยหยวนจึงหยิบพัดกลมในมือนางมาช่วยพัดให้ ทั้งยังสั่งให้เสี่ยวซานไปหยิบน้ำอุ่นมาให้นางดื่ม
หลี่หลิงหว่านรู้ว่าออกจากจวนหนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้สั่งให้คนเตรียมน้ำบ๊วยเย็นมาด้วยเพื่อให้ทุกคนได้ดื่มคลายร้อน ด้วยเหตุนี้นางจึงโบกมือให้เสี่ยวซาน “เสี่ยวซาน ข้าไม่อยากดื่มน้ำอุ่น ไปหยิบน้ำบ๊วยเย็นถ้วยหนึ่งมาให้ข้าที”
“ไม่ได้” ทว่ากลับถูกหลี่เหวยหยวนเอ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เสี่ยวซาน ไปหยิบน้ำอุ่นมา”
เสี่ยวซานมองหลี่หลิงหว่านสลับกับมองหลี่เหวยหยวน บนใบหน้ามีสีหน้าลังเลเพียงชั่ววูบ สุดท้ายนางยังคงเอ่ยอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่”
หลี่หลิงหว่านพูดอันใดไม่ออก
เหตุใดเสี่ยวซานที่เป็นสาวใช้ของข้ากลับไม่ฟังคำพูดข้า แต่ไปฟังคำพูดหลี่เหวยหยวนแทนกันเล่า
ขณะนั้นหลี่เหวยหยวนก็เอ่ยชี้แจงอยู่ข้างกายหลี่หลิงหว่าน “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะเสียเหงื่อ ตอนที่ร่างกายร้อนมากๆ หากเจ้าดื่มน้ำบ๊วยเย็นลงไปกะทันหัน เจ้าจะรับไหวได้อย่างไร อย่าได้ละโมบความสบายจนทำให้ร่างกายได้รับความเย็นเลย เจ้าดื่มน้ำอุ่นย่อมดีกว่า”
พูดถึงเหตุผลแล้วไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใจ แต่ความรู้สึกตอนร้อนๆ แล้วได้ดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ ลงไปนั้นช่างเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนนี้มีคนควบคุมมือเท้านางเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจทำตามใจได้แต่แรกแล้ว
หลี่หลิงหว่านทำได้เพียงดื่มน้ำอุ่นอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็เร่งรีบติดตามคนอื่นๆ ไปพร้อมหลี่เหวยหยวน
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีมาตลอด ไม่ว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะร้อนถึงเพียงนี้ ดังนั้นทุกคนจึงมีสภาพที่ห่อเหี่ยวอยู่บ้าง โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ไฉนเลยจะทนรับไหว นางมีบรรดาสาวใช้ประคองเข้าไปในบริเวณด้านหลังวัดซึ่งมีเรือนพักอันเงียบสงบนานแล้ว
ทุกคนต่างกรูเข้าไปดูอาการฮูหยินผู้เฒ่าสักพักหนึ่ง จากนั้นซวงหงก็ออกมาถ่ายทอดคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่ารอจนช่วงพลบค่ำให้อากาศเย็นลงกว่านี้บ้างแล้วค่อยออกมาไหว้พระ ตอนนี้ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนหรือเดินเล่นอยู่ในวัดก่อน เพียงแต่จำไว้ว่าที่ข้างกายต้องพาผู้อื่นไปด้วย ไม่อาจอยู่เพียงลำพัง
เรือนพักที่อยู่ภายในวัดถูกทำความสะอาดเอาไว้นานแล้ว ยามนั้นหลังทุกคนแยกย้ายก็พากันไปพักผ่อนในเรือนพักกันหมด
เดิมทีหลี่หลิงหว่านก็อยากหาเรือนพักสักแห่งเพื่อพักผ่อน แต่ถูกหลี่เหวยหยวนรั้งตัวไว้ บอกว่าให้นางไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา
หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกทุกข์ตรม ต่อให้ในใจนางไม่ยินยอมเพียงใด แต่เหมือนว่านางจะไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอที่หลี่เหวยหยวนเสนอขึ้นมานี้ได้แต่แรกแล้ว นางจึงพาเสี่ยวซานเดินไปด้วยกันกับหลี่เหวยหยวน ค่อยๆ เดินเล่นภายในวัดเฉิงเอินแห่งนี้ โชคดีที่พวกเขาตั้งใจเลือกเดินตามสถานที่ที่มีร่มเงาจึงไม่นับว่าร้อนเกินไปนัก
ยามนี้เป็นช่วงฤดูร้อนพอดี นอกจากหลังคากระเบื้องและกำแพงสีชาดแล้ว ที่สายตามองเห็นล้วนเป็นสีเขียวเข้มๆ อ่อนๆ นานาชนิด ก้อนหินบริเวณทางเท้ามีตะไคร่เขียวสดเกาะอยู่ ทั้งยังมีดอกเซวียนเฉ่า แทรกขึ้นมาจากรอยแยก กิ่งเรียวยาวพลิ้วไสวตามแรงลม
เมื่อเห็นดอกเซวียนเฉ่าเหล่านี้ หลี่หลิงหว่านก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงชี้ไปยังดอกเซวียนเฉ่าสีเหลืองทองต้นนั้นพร้อมเอ่ยกับหลี่เหวยหยวนอย่างกระตือรือร้น “พี่ชาย สิ่งนี้เรียกว่าวั่งโยวเฉ่า…หญ้าลืมทุกข์ ชื่อไพเราะมากใช่หรือไม่ แต่ความจริงแล้วมันก็คือหวงฮวาไช่ที่พวกเรากินกัน ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน จริงหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่ว่าอย่างไรตอนแรกที่หลี่หลิงหว่านได้รู้ว่าหญ้าลืมทุกข์ก็คือหวงฮวาไช่ที่นางเคยกินนั้น นางก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมากจริงๆ เหมือนดังเช่น ‘ดอกเรืองมณีพลิ้วพราย’ ที่มีนามอันไพเราะถึงเพียงนี้ แต่เมื่อเรียกเป็น ‘กระเทียมหิน’ ความรู้สึกย่อมเปลี่ยนไปทันที