ชิงหลวนคิดแล้วก็ยืนขึ้นทำความเคารพอย่างชดช้อย “ชิงหลวนถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”
โต้วหวั่นเอ๋อร์อ้ำอึ้ง “ท่านเดาได้แล้วหรือ…”
ชิงหลวนตอบโต้วหวั่นเอ๋อร์ว่า “ด้วยฐานะของแม่นางโต้ว คนในวังที่เป็นสหายสนิทของท่านได้มีเพียงองค์หญิงทั้งสอง องค์หญิงจยาผิงมีพระชันษาอ่อนกว่าหลายปี เช่นนั้นก็ต้องเป็นองค์หญิงซีชิ่งเป็นแน่แท้ เรื่องที่เห็นได้ชัดปานนี้ หากข้ารู้แล้วยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ นั่นจะมิใช่อำพรางเก่งเกินไปหรือไร”
ฝูเป่ากล่าวยิ้มๆ “เดาได้ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ชอบคนที่ปิดบังซ่อนเร้น เจ้ามีนามว่าชิงหลวนกระมัง พวกเรามาเป็นสหายกันเถิด รีบนั่งลงกินบะหมี่เร็วเข้า”
ชิงหลวนได้ยินดังนี้กลับมิได้นั่งลง แต่ก้มลงต่ำทำความเคารพ “โปรดประทานอภัยที่ชิงหลวนบังอาจขอร้องให้องค์หญิงทรงช่วยหม่อมฉันหาคนผู้หนึ่ง”
ฝูเป่าถามด้วยความแปลกใจ “หาคน?”
“ทูลตามตรง ชิงหลวนเป็นชาวเจียงจั่ว มาแคว้นฉินครานี้เพื่อตามหาน้องสาว” นางมองฝูเป่าพลางกล่าวว่า “ก่อนปีใหม่องค์ชายฝูหมัวเคยเสด็จประพาสเจียงจั่ว น้องสาวหม่อมฉันก็ได้หายตัวไปในเวลานั้น”
ฝูเป่าทำสีหน้าเหมือนว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง “เจ้าว่าท่านอาหมัวของข้าพาน้องสาวของเจ้าไป?”
“ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ชิงหลวนมิกล้าบุ่มบ่ามด่วนสรุป เพียงแต่มีความเป็นไปได้สูงอย่างที่สุดเพคะ” ชิงหลวนกล่าวพลางหางตาปรากฏหยาดน้ำตา “ชิงหลวนฐานะต่ำต้อย วาจาไร้น้ำหนัก เดิมไม่ควรมาหาคนยังแคว้นฉิน แต่ไม่นานมานี้มารดาได้สิ้นใจด้วยอาการป่วย ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของชิงหลวนก็คือต้องการหาตัวน้องสาวแล้วพากลับไป”
ฝูเป่าเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงลุกขึ้นกุมมือนางไว้ กล่าวปลอบใจว่า “มิต้องร้อนใจไป แม้ท่านอาผู้นี้ของข้าจะเสเพลจนเป็นนิสัยแล้ว แต่มิใช่คนเลวอะไร ข้าจะไปพูดกับเขา หากน้องสาวเจ้าอยู่ที่นั่นจริงจะต้องทำให้พวกเจ้าพี่น้องได้พบกันอย่างแน่นอน!”
ชิงหลวนกัดริมฝีปาก มือหนึ่งปาดน้ำตา “เป็นพระกรุณาธิคุณเพคะ”
“กรุณาอะไรกัน ข้าบอกแล้วว่าพวกเราเป็นสหายกัน ย่อมเป็นเรื่องสมควร!” ฝูเป่าดึงให้ชิงหลวนนั่งลง “รีบกินบะหมี่เถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นที่มิได้เอื้อนเอ่ยคำใดมาโดยตลอดได้พูดขึ้นมาจากด้านข้าง “กินเสร็จแล้วข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไป”
ฝูเป่าไม่พอใจ พูดเสียงอู้อี้ “โธ่ นี่ยังไม่ดึกเลย”
“ผ่านไปอีกชั่วยาม* ประตูวังก็จะปิดแล้ว หากคราวหน้าเจ้ายังอยากออกมา วันนี้ก็ควรกลับไปเร็วๆ”
ฝูเป่าตอบรับเสียงค่อย แต่ยังคงลดความเร็วในการกินบะหมี่ลงตามจิตใต้สำนึก
ทว่าต่อให้นางกินช้าเพียงไร เวลาในการบะหมี่หนึ่งชามก็ไม่มีทางนานได้มากนัก
กินเสร็จฝูเป่าก็นัดเวลาพบกันครั้งหน้ากับชิงหลวน จากนั้นก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับวัง
ชิงหลวนมองดูรถม้าของพวกนางหายไปท่ามกลางความมืดยามราตรี แต่กลับมิได้จากไปที่ใดเป็นเวลาเนิ่นนาน
นางไม่ได้นึกถึงมารดามาเป็นเวลานาน ในไม่กี่วันนับตั้งแต่ได้รู้ข่าวการตายของมารดาจวบจนตอนนี้ นางมักจะจงใจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้เสมอ แต่ขณะบอกเล่าเรื่องนั้นเมื่อครู่นี้ได้ชักนำความทรงจำในสมัยเด็กเกี่ยวกับมารดากลับมาทั้งหมด
เจ็ดปีแล้ว…เวลาเจ็ดปี นางเฝ้าหวังทุกทิวาราตรีว่าจะสามารถกลับไปอยู่พร้อมหน้ากับมารดาและน้องสาวได้ในเร็ววัน ไม่คิดว่าพอถึงเวลากลับได้รับข่าวเยี่ยงนี้
เจ้าของแผงขายบะหมี่เห็นนางนั่งเงียบอยู่ตรงนั้นก็เงยหน้ามอง ก่อนจะมองเห็นนางน้ำตานองหน้า มือหนึ่งปิดปากไว้ ชัดเจนว่าร้องไห้จนปิ่มจะขาดใจ แต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
“แม่นาง ท่านยังไหวอยู่กระมัง”
ชิงหลวนส่ายหน้า ลุกขึ้นเดินออกจากแผงขายบะหมี่