คืนวันถัดมามู่หรงชงพามู่เฉินไปที่จวนของฝูหมัวตามนัดหมาย
ในเมืองฉางอันล้วนพูดกันว่าฝูหมัวเป็นท่านโหวเจ้าสำราญที่ไม่สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง พูดได้มิผิด คนทั้งสองก้าวเท้าเข้าจวนก็เห็นเพียงภายในลานเรือนมีคนระบำร่ายรำและเสียงเครื่องดนตรีขับคลอ เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลายสงบสุข
ฝูหมัวนั่งอยู่ในศาลา เห็นพวกเขาเดินมาใกล้ก็ลุกขึ้นต้อนรับพร้อมกล่าวยิ้มๆ ว่า “เฟิ่งหวงท่าทางสง่างามเปิดเผย งดงามไร้ที่ติ พอเจ้ามาในจวนก็เรืองรองเลยทีเดียว”
ชาวเผ่าเซียนเปยมีผิวขาวโฉมงาม รูปโฉมของมู่หรงชงยิ่งโดดเด่นกว่าใคร ทว่าเขาไม่ชอบถูกคนวิจารณ์เยี่ยงนี้มาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่รับคำ แต่เปลี่ยนมาคารวะอย่างเรียบร้อยทันที
สตรีที่เคยปรากฏตัวขณะล่าสัตว์ที่อุทยานซั่งหลินซึ่งนั่งอยู่ข้างกายฝูหมัวผู้นั้นยังคงคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่ง นางอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมู่เฉิน จงใจหลบเลี่ยงสายตาของฝ่ายหลัง เรียวคิ้วงามมุ่นน้อยๆ
มู่หรงชงรินสุราด้วยตนเองก่อนกล่าว “ขอบคุณท่านโหวมากที่ช่วยแก้สถานการณ์ในตำหนักใหญ่ให้เมื่อวันก่อน อีกไม่กี่วันเฟิ่งหวงก็จะออกเดินทางกลับผิงหยาง จึงตั้งใจมาลา”
“เฟิ่งหวงกล่าวหนักไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ทำเพื่อเจ้าคนเดียวเสียหน่อย วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาททั้งที จะปล่อยให้ฝ่าบาทพระอารมณ์เสียเพราะคำพูดไม่กี่คำของผู้น้อยได้อย่างไร” ฝูหมัวดื่มสุราไปหนึ่งจอกก่อนว่า “เจ้าไปจากฉางอันเร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังจะเข้าช่วงวุ่นวายเต็มทีแล้ว”
มู่หรงชงส่งเสียงรับรู้เบาๆ ระคนด้วยแววไม่ใคร่เข้าใจ
ฝูหมัวจึงอธิบาย “เช้าวันนี้โหรหลวงได้ทำนายออกมาว่าดาวสัตตเคราะห์โคจรผิดปกติ บังเกิดความสับสนวุ่นวาย ประจวบกับอัครเสนาบดีป่วยหนัก ฝ่าบาทหนักพระทัยยิ่งยวด…”
มู่หรงชงกล่าว “ไม่ว่าอัครเสนาบดีหวังจะเป็นเช่นไรก็นับนิ้วรอวันที่ฝ่าบาทจะทรงรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้เลย”
“เจ้าคล้ายจะไม่ค่อยชอบอัครเสนาบดีหวัง?”
“หากข้าบอกว่าชอบ ท่านโหวก็คงไม่เชื่อกระมัง”
“เฟิ่งหวง เจ้าช่างพูดจาเถรตรงไม่กลัวเกรงสิ่งใดโดยแท้” ฝูหมัวหัวเราะ ผินหน้าเล็กน้อยไปหามู่เฉิน “อนุผู้นี้ของเจ้าไยจึงเอาแต่จ้องมองอนุของข้า”
มู่หรงชงกุมมือมู่เฉินไว้ ดึงนางถอยหลังเล็กน้อย “ไยจึงไร้กฎระเบียบปานนี้!” ว่าเสร็จก็หันมาพูดกับฝูหมัว “นางติดตามข้าได้ไม่กี่วัน ไม่ใคร่รู้ความนัก ท่านโหวโปรดอย่าได้ตำหนิ”
ฝูหมัวเห็นว่าแม้มู่หรงชงจะต่อว่านางไปสองสามคำ แต่แววตาและการกระทำกลับให้ท้ายอย่างชัดเจน จึงมั่นใจว่าสตรีนางนี้เป็นคนที่มู่หรงชงชอบ “มิเป็นไร จริงสิเฟิ่งหวง หลายวันก่อนมีคนมอบพิณให้ข้าคันหนึ่ง ในเมื่อเจ้าดีดพิณเป็นก็ช่วยไปตั้งเสียงให้ข้าหน่อยเถอะ”
“ย่อมได้”
ฝูหมัวหันหน้าไปกำชับสตรีที่คลุมหน้านางนั้น “เจ้าอยู่รับรองแขกที่นี่ดีๆ”
“เจ้าค่ะ”
มู่เฉินมองแผ่นหลังของคนทั้งที่จากไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกงุ่นง่าน แต่เมื่อมองสตรีตรงหน้าอีกทีก็ข่มความกระวนกระวายในใจลง
ในตำหนักเว่ยยางฝูเจียนกำลังอ่านฎีกาจากหวังเหมิ่ง
‘…กระหม่อมได้ยินมาว่าการสนองคุณใดก็มิสู้การพูดหมดเปลือก จึงใคร่ขอใช้ชีวิตที่ใกล้ถึงฝั่งถวายคำสั่งเสียเป็นการส่วนตน กราบทูลฝ่าบาท พระบารมีสะท้านแปดดินแดน พระพลานุภาพกล่อมเกลาหกทิศ เก้านครร้อยอำเภอครอบครองอยู่เจ็ดในสิบ ปราบเยียนกำราบสู่ง่ายดายประดุจเด็ดหญ้า ทำได้ดีไม่แน่ว่าจะทำสำเร็จด้วยดี เริ่มด้วยดีไม่แน่ว่าจะจบลงด้วยดี ด้วยเหตุนี้ยอดนักปราชญ์ยุคโบราณที่ทราบถึงความลำบากของการสร้างผลงานความชอบจึงตัวสั่นงันงกดั่งเผชิญหุบเขาลึก กราบทูลฝ่าบาท ดำเนินตามรอยปราชญ์ ใต้หล้าผาสุก’