ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 12-14
ฝูเจียนอ่านไปพลางถูดวงตาไปพลาง อ่านจบก็ใคร่ครวญอยู่เป็นนาน แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ซ่งหยา ไปจวนอัครเสนาบดีอีกรอบ”
พอก้าวออกจากประตูตำหนักก็มองเห็นขอบฟ้ามีแสงอ่อนๆ วาบผ่านไป คล้ายกับว่ามีดาวดวงหนึ่งพุ่งตกมาจากกลางม่านสีดำนั้น
ในใจฝูเจียนให้ประหวั่นยกใหญ่ รีบถามคนที่ข้างกาย “พวกเจ้าเห็นหรือไม่ เมื่อครู่มีแสงสายหนึ่งตกลงมา?”
เหล่าบ่าวรับใช้พากันตอบว่าไม่เห็น
ฝูเจียนเร่งฝีเท้ามาถึงจวนหวังเหมิ่ง ได้ยินหมอหลวงบอกว่าไม่เป็นอะไรมากเขาถึงค่อยวางใจได้
หวังเหมิ่งแม้แต่จะลุกขึ้นยังลำบาก ฝูเจียนจึงให้เขานอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับตัว แล้วเป็นฝ่ายเดินไปนั่งลงบนเตียงเอง
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวชวนให้สลดใจของหวังเหมิ่งฝูเจียนก็ทรมานใจ “นึกถึงสมัยนั้นที่ข้ายังเยาว์วัย จิ่งเลวี่ย ท่านเร้นกายหลบจากโลกภายนอก แม้แต่หวนเวินยังเชิญท่านออกมาไม่ได้ กลับเป็นเด็กน้อยอย่างข้าที่ทำให้ท่านยินดีช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ปัจจุบันซยงหนู อูหวน เซียนเปยพากันสวามิภักดิ์ต่อต้าฉิน ทางเหนือมั่นคง ชนเผ่ารอบทิศศิโรราบ เห็นอยู่ว่าแผนการใหญ่เหลืออีกแค่ไม่กี่ก้าวสุดท้ายแล้ว ท่านกลับ…”
หวังเหมิ่งฟังฝูเจียนรำลึกความหลังในสมัยก่อนบนหน้าก็อดจะเปล่งประกายแห่งความภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้ “จำได้ว่าตอนนั้นพวกชาวบ้านยังขับร้องกันว่า ‘ถนนใหญ่ในฉางอัน หยางไหวเขียวชอุ่ม ด้านล่างรถม้าหรูแล่น ด้านบนหงส์ฟ้าเกาะพัก ผู้ทรงปัญญามาชุมนุม อบรมชาวบ้านอย่างข้า’ ”
ฝูเจียนกล่าว “จิ่งเลวี่ย ท่านยังตกไปอีกท่อน ‘ทัพแกร่งแคว้นมั่งคั่ง ด้วยกำลังของเหมิ่ง’ ”
หวังเหมิ่งรู้สึกผิดคาดไปเล็กน้อย กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “แผนการใหญ่ของฝ่าบาทคือการรวมหกทิศเป็นหนึ่งเดียวเพื่อช่วยประชาราษฎร์ กระหม่อมคิดว่าอันดับแรกฝ่าบาทควรทำให้ทางตะวันตกเฉียงเหนือมั่นคงก่อนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลข้างหลัง จากนั้นค่อยไปชิงชัยกับทางตะวันออกเฉียงใต้…” เขาเริ่มไอ พูดแล้วเหนื่อยยิ่งยวด แต่ยังคงมองฝูเจียนด้วยสองตาวาวโรจน์ “แต่…เวลานี้อย่าเพิ่งทรงยกทัพลงใต้เป็นอันขาด…แค่กๆๆ…”
“จิ่งเลวี่ย ค่อยๆ พูด” ฝูเจียนยื่นน้ำให้ด้วยตนเอง “ข้ารู้ถึงความกังวลของท่าน ย่อมจะไม่กระทำการวู่วาม”
หวังเหมิ่งดื่มน้ำไปสองสามอึกก่อนพูดต่ออีกว่า “รัชศกหนิงคังปีที่สองมีดาวหางปรากฏ โหรหลวงเชื่อว่าเป็นลางไม่ดี ‘ดาวหางเริ่มจากกลุ่มดาวเว่ยกลุ่มดาวจีตกลงมาที่กลุ่มดาวจิ่ง* นี่เป็นลางว่าเยียนทำลายฉิน’ กระหม่อมโน้มน้าวให้ฝ่าบาททรงประหารสกุลมู่หรง ฝ่าบาทมิทรงทำตาม กลับพระราชทานตำแหน่งขุนนางให้ด้วย…เดือนสิบสองในปีเดียวกันนั้นในเมืองฉางอันเกิดข่าวลือขึ้นทั่วสารทิศว่า ‘ปีลิงไม้ไก่ไม้ ปลาแพะ** กินคน’ แม้จะเป็นเช่นนี้ฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงฟัง ถวายฎีกาขึ้นไปหลายครั้งถึงได้ทรงส่งมู่หรงชงออกไป” พูดมาถึงตรงนี้หวังเหมิ่งก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย “บัดนี้กระหม่อมใกล้ตาย…”
“จิ่งเลวี่ย” ฝูเจียนมองเขา แสดงความอาดูรออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน “ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าพูดคำนี้ ข้าไม่อยากกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายจริงๆ…”
หวังเหมิ่งน้ำตาไหลพราก ร้องไห้ไม่มีเสียง พูดปนสะอื้นว่า “กระหม่อมตายไปก็ไม่เสียดาย ขอฝ่าบาทโปรดทรงประหารพวกคนเซียนเปยและซีเชียงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเขามีจิตใจคิดชั่ว ตราบใดที่ยังไม่ตาย สักวันก็จะ…กลายเป็นภัย!”
ฝูเจียนกุมมือที่สั่นเทาของหวังเหมิ่งไว้ “จิ่งเลวี่ย ท่านคิดมากไปแล้ว พวกเขาสมัครใจสวามิภักดิ์ต่อต้าฉินเราก็ด้วยระลึกถึงความใจกว้างที่ข้ามีต่อพวกเขา…”
รู้สึกได้ว่ามือของหวังเหมิ่งพลันสั่นอย่างรุนแรง ฝูเจียนก็กลัวอยู่บ้างจึงตะโกนลั่นว่า “หมอหลวง หมอหลวง!”
“ไม่…ไม่จำเป็น…” หวังเหมิ่งกำแขนเสื้อฝูเจียนแน่น กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยทว่าเด็ดขาด “กระหม่อมทราบว่าฝ่าบาทมีพระเมตตา ต้องไม่ทรงทำเรื่องนี้เป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้เมื่อครู่นี้กระหม่อม…ได้ออกคำสั่งสุดท้ายในชีวิตนี้ไปแล้ว คืนนี้ประหารเดนคนแคว้นเยียน!”
ฝูเจียนหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างรุนแรงในทันใด “จิ่งเลวี่ย!”
เขาทั้งโกรธทั้งตกใจ แต่เห็นลมหายใจของหวังเหมิ่งค่อยๆ แผ่วลงโทสะก็หายวับไปในทันที พูดด้วยความเศร้าระทมจนอยากหลั่งน้ำตา “จิ่งเลวี่ย ข้าไม่ตำหนิท่าน ขอเพียงท่านมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น! ข้ายังรอให้ท่านนำทัพลงใต้ให้ข้าอยู่…จิ่งเลวี่ย! จิ่งเลวี่ย!”
ฉับพลันฝูเจียนก็รู้สึกได้ว่ามือที่จับอยู่หมดกำลังไปแล้ว สองตาปิดสนิท หยุดหายใจ ฝูเจียนจึงร้องเรียกพร้อมกับร่ำไห้จนน้ำมูกไหล
มู่เฉินกับสตรีนางนั้นจ้องมองกันอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า “ถอดผ้าคลุมหน้าได้หรือไม่”
สตรีนางนั้นหลุบตาต่ำพลางตอบเรียบๆ “บนหน้าข้ามีแผลเป็น ท่านโหวไม่อนุญาตให้ถอดผ้าคลุมหน้า”
“มีแผลเป็นได้อย่างไร”
“ในจวนโหวสตรียากจะเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง”
นางตอบได้เรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่มู่เฉินฟังแล้วในใจกลับปวดหนึบ สูดหายใจลึกก่อนเอ่ยว่า “เจ้าอยากจากไปหรือไม่”
สตรีนางนั้นไม่ตอบ เพียงหยิบกาขึ้นมารินน้ำและยื่นให้มู่เฉิน “ดื่มสุราแล้วจะกระหายน้ำ ดื่มน้ำชาแก้กระหายสักหน่อยเถิด”
มู่เฉินยิ้มน้อยๆ ในดวงตามีน้ำตาคลอ รับถ้วยมาก่อนเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ อย่างไรก็ต้องรักษาหาย…เจ้ายังจำหนานเหยาได้หรือไม่ ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะหายาก ทว่าไม่เป็นไร วันหน้าพวกเราไปหาด้วยกันได้…”
มู่เฉินยกถ้วยทำท่าจะดื่ม ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะพลันยื่นมือมาปัดถ้วยลงพื้น “จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าน้ำนี้เป็นของเมื่อวาน เจ้าระวังดื่มแล้วท้องร่วง” นางจับแขนมู่เฉิน ดึงให้ฝ่ายหลังลุกขึ้น “ท่านกระโดดลงไปจากตรงนั้น น้ำไม่ลึก เดินลุยน้ำไปจะเจอห้องเรียงกันเป็นแถว มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นกำแพงเตี้ย ตรงนั้นข้ามออกไปได้…”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” มู่เฉินตัดบทนาง ทันใดนั้นก็เดาบางอย่างได้จึงพูดด้วยความร้อนใจ “ข้าจะไปหามู่หรงชง!”
“ไม่ต้องแล้ว คนผู้นั้น…คิดว่าคงจะตายไปแล้ว”