ม้วนที่ 2 ผิงหยาง
หิมะตกปลายสารท แรกเหยียบเมืองผิงหยาง
หอบุปผชาติอีผิ่น
ที่ให้ความเริงรมย์ในยุคบ้านเมืองปั่นป่วน
บทที่ 1 เมืองแห่งอิสระ
ครึ่งค่อนเดือนให้หลังคณะของมู่เฉินกับมู่หรงชงก็มาถึงเมืองผิงหยางในที่สุด
ผิงหยางเป็นสถานที่สำคัญด้านการทหาร ตะวันออกติดซั่งตั่ง ตะวันตกติดแม่น้ำหวงเหอ ทางใต้เชื่อมลั่วหยาง ทางเหนือชนกับไท่หยวนซึ่งในรัชศกหย่งจยาปีที่สามเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นฮั่นจ้าวของหลิวยวน
ระหว่างทางมู่เฉินเคยได้ยินมู่หรงชงบอกว่าผิงหยางมีคนแปลกคนพิเศษอยู่มาก เขาตั้งปณิธานจะเริ่มต้นที่นี่ รวบรวมบุคคลทรงความรู้ความสามารถ เกณฑ์ทหาร สะสมเสบียง
เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมืองมู่หรงชงก็ให้คนจัดห้องให้มู่เฉิน อีกทั้งส่งชุนหยามาปรนนิบัตินาง เพราะเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางหลังมู่เฉินถึงห้องก็อาบน้ำ หัวถึงหมอนก็หลับไป
นอนหลับครานี้นางมีอาการป่วย
ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว กลางคืนอากาศหนาวเย็น อีกทั้งช่วงหลายวันก่อนก็เหนื่อยเกินไป คืนหนึ่งผ่านไป มู่เฉินรู้สึกเพียงว่าปวดศีรษะวิงเวียน ทั้งยังหายใจลำบาก
นางได้ยินเสียงมู่หรงหย่งตำหนิชุนหยาแว่วๆ “ไยเจ้าจึงชะล่าใจเพียงนี้ นายท่านให้เจ้าดูแลนางให้ดี เพิ่งจะดูแลได้คืนเดียวก็กลายเป็นเยี่ยงนี้แล้ว…”
ชุนหยาสะอื้นเบาๆ อยู่ด้านข้าง
มู่เฉินหมายออกปากห้ามมู่หรงหย่ง แต่ก็รู้สึกไม่สบายคอ ได้แต่สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่งก่อน
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นด้านข้าง “อาหย่ง เจ้าออกไป อย่ารบกวนคนป่วยพักผ่อน”
มู่หรงชง? เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มาเพื่อเยี่ยมข้า? มู่เฉินกำลังคิดเช่นนี้ ครั้นแล้วก็รู้สึกเย็นน้อยๆ บนหน้าผาก ความรู้สึกปวดศีรษะวิงเวียนนั้นสลายไปครึ่งหนึ่ง สบายตัวเหลือเกิน
นางลืมตาเล็กน้อย มองเห็นแขนเสื้อลายเมฆมงคลอยู่ตรงหน้า เมื่อมองตามแขนเสื้อขึ้นไปก็เห็นใบหน้าที่อยู่ใกล้มากของมู่หรงชง เขากำลังยื่นฝ่ามือมาอังบนหน้าผากมู่เฉิน
มู่เฉินอยากจะขยับศีรษะหนี แต่ก็ติดที่ไม่มีแรง เพียงเอียงศีรษะเล็กน้อยก็สบเข้ากับดวงตาของมู่หรงชงพอดี
เขากล่าวเรียบๆ “ข้ามือเย็น จะช่วยลดความร้อนให้เจ้า”
มู่เฉินรู้สึกว่าเขาพูดได้สมเหตุสมผลยิ่งยวด นางจึงกล่าวขอบคุณเบาๆ
มู่หรงชงกล่าวอย่างโทษตนเองอยู่บ้าง “ข้าเชิญเจ้ามาผิงหยาง กลับไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี มาถึงวันแรกก็ล้มป่วยเสียแล้ว”
มู่เฉินถามว่า “ชุนหยาเล่า”
นางเห็นในห้องมีเพียงมู่หรงชงคนเดียวจึงนึกแปลกใจ ด้วยเมื่อครู่ยังได้ยินเสียงของชุนหยาอยู่
มู่หรงชงตอบ “อาหย่งพาออกไปแล้ว”
มู่เฉินจึงว่า “อย่าให้อาหย่งว่านาง เป็นข้าไม่ได้ห่มผ้าให้ดีเอง ไม่ใช่ความผิดนาง”
“ได้” มู่หรงชงพูดพลางเก็บมือกลับมา ก่อนจะกำฝ่ามืออย่างคล้ายคิดอะไรบางอย่าง “ดูเหมือนจะอุ่นขึ้นหน่อยแล้ว”
“หือ?”
“ไม่มีอะไร เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าจะให้ชุนหยาเข้ามาปรนนิบัติ”
หลังมู่หรงชงออกไปแล้วมู่เฉินถึงตระหนักได้ถึงความหมายของคำพูดเมื่อครู่นี้ของเขา เจ้าคนผู้นี้ถึงกับใช้หน้าผากข้าอุ่นมือ!
มู่เฉินเป็นไข้อยู่สองวันถึงได้อาการดีขึ้น ยามลงจากเตียงมานางก็รู้สึกเบาไปทั้งร่าง จึงเรียกชุนหยามาทันที บอกว่าจะไปเดินเล่นในลานเรือน
บัดนี้บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงกำลังเข้มข้น ดอกไม้ใบหญ้าก็ล้วนปรากฏความเหี่ยวเฉา ทั่วทั้งลานเรือนดูไร้ชีวิตชีวาอยู่บ้าง จวนเจ้าเมืองนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก การตกแต่งก็ถูกต้องตามกฎระเบียบ ไม่มีจุดใดพิเศษ โดยเรือนที่นางพักแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับเรือนนอนของมู่หรงชงพอดี ถือเป็นที่พักที่ดีลำดับต้นๆ ในจวน
มู่หรงชงใส่ใจนางมากจริงๆ พอได้ยินว่านางลงจากเตียงมาเดินเหินได้แล้วก็ให้มู่หรงหย่งมาถามว่าอยากออกไปดูทิวทัศน์เมืองผิงหยางนี้สักหน่อยหรือไม่
คราวนี้ชุนหยาระมัดระวังยิ่ง “แม่นางยังไม่หายดี ออกไปข้างนอกจะเหมาะหรือเจ้าคะ”
มู่เฉินกลับไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ออกไปเดินสักหน่อยจะได้มีกำลังวังชามากขึ้น”
มู่หรงหย่งไปรายงานมู่หรงชง เสร็จแล้วก็ไปเตรียมรถม้าให้คนทั้งสองออกจากจวน