มู่เฉินและมู่หรงชงนั่งอยู่ด้านในรถม้าคันเดียวกัน มุ่งหน้าไปยังทางใต้ของเมืองอย่างช้าๆ
ชุนหยานั่งอยู่ด้านนอกรถม้า มู่หรงหย่งนั่งอยู่บนม้าด้านหน้า เสียงคนทั้งสองโต้คารมกันดังมาเป็นระยะ
มู่เฉินแหวกม่านมองไปข้างนอก เห็นผู้คนสัญจรไปมาในตลาดสองข้างทางคึกคักยิ่งยวด ดูมีสภาพผาสุกยิ่ง นางเคยเดินทางผ่านเมืองหลายเมือง แม้ที่นี่จะไม่กว้างใหญ่เท่าฉางอันและไม่ประณีตเท่าเจี้ยนคัง แต่ก็เป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์อย่างหาได้ยาก
รถม้าวิ่งผ่านตลาดและย่านพักอาศัย สองข้างทางเริ่มดูเปล่าเปลี่ยว
มู่เฉินเอ่ยถาม “นี่กำลังจะไปที่ใดหรือ”
มู่หรงชงตอบ “ศาลพระเจ้าเหยา”
มู่เฉินอึ้งไปเล็กน้อยก่อนถามว่า “ท่านบูชาพระเจ้าเหยา?”
“สมัยเยาว์วัยชื่นชมในผลงานของราชวงศ์ฉินและฮั่น คิดว่าจุดสูงสุดของใต้หล้าควรเป็นเช่นนั้น จวบจนเมื่อสามปีก่อนได้ไปถึงฉางอัน ได้สำรวจร่องรอยประวัติศาสตร์ ถึงได้เริ่มคิดพิจารณาถึงความปราดเปรื่องในยุคโบราณ” มู่หรงชงนั่งตัวตรงพลางกล่าวช้าๆ “ในศาลบันทึกเกียรติประวัติของพระเจ้าเหยาไว้ว่าได้ย้ายเมืองหลวงมายังผิงหยาง คิดค้นการนับวันเดือนปี เสาะหาและรับผู้ทรงคุณธรรมความสามารถมาทำงาน สุดท้ายใต้หล้าจึงสมานฉันท์ ชาวบ้านไม่เดือดร้อน”
มู่เฉินถอนหายใจ “ทว่าใต้หล้าในปัจจุบันมีเพียงใช้สงครามยุติสงคราม”
“สามปีที่ข้าอยู่ที่นี่ก็คิดเยี่ยงนี้” มู่หรงชงเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวเสียงค่อย “น่าเสียดายที่ทั่วทั้งใต้หล้าไม่มีบุคคลเยี่ยงนี้ จึงได้แต่ก้มหน้าศึกษาแนวทางโบราณ”
“บัดนี้คิดได้แล้วหรือว่าควรทำเช่นไร”
“คิดได้ตั้งแต่ยามได้พบคนในตระกูลที่ฉางอันแล้ว”
ขณะที่พูดศาลพระเจ้าเหยาก็อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า พวกเขาลงรถม้าเดินเท้าต่อ
ระหว่างทางขรุขระอยู่บ้าง มู่หรงชงประคองมู่เฉินพลางกล่าว “ระวัง”
มู่เฉินตอบ “ขอบคุณ”
มู่หรงชงจึงว่า “ไม่ต้องเกรงใจข้าปานนั้น หนทางในวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล”
หนทางในวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะเดินไปด้วยกัน
มู่เฉินนิ่งงันไปเล็กน้อย “โชคชะตาบนโลกนี้เป็นสิ่งที่พูดได้ยากโดยแท้ เดิมทีข้า…คิดจะพาอวิ่นจือจากไป”
มู่หรงชงเพียงจับมือมู่เฉินแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าราบเรียบ
มู่เฉินกล่าว “ท่านวางใจได้ ตอนนี้ข้าไม่ไปแล้ว”
ขณะยังไม่ได้พบมู่อวิ่นจือนางลังเลอยู่ตลอดว่าจะพามู่อวิ่นจือกลับหนานเหยาตามความปรารถนาของมารดา หรือจะรั้งอยู่กับสกุลมู่หรงตามคำสั่งของอาจารย์ดี ต่อมาได้รู้ว่ามู่อวิ่นจือไม่ได้มีชีวิตดั่งใจหวัง ในใจก็คิดแล้วว่าจะเลือกประการแรก ไม่คาดคิดว่าไฟไหม้ที่ตำหนักเว่ยยางจะบีบให้นางทำได้เพียงเลือกติดตามมู่หรงชงมายังผิงหยาง
นางไม่มีญาติพี่น้องเหลืออยู่แล้ว ไม่มีห่วงใด ยามเห็นชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากก็อดจะคิดไม่ได้ว่าหากใต้หล้ามีสันติสุขคนสายเลือดเดียวกันก็จะไม่ถึงขั้นต้องพลัดพรากจากกันแล้ว
มู่เฉินปักธูปสามดอกเบื้องหน้ารูปปั้นบุคคลทรงคุณธรรมความสามารถผู้ล่วงลับอย่างเคารพนบนอบ พลางกล่าวในใจว่าเช่นนั้นก็ขอให้ใต้หล้านี้มีสันติสุขด้วยเถิด