ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน ม้วนที่ 2 บทที่ 1-2
ระหว่างทางกลับพวกเขาผ่านตลาดแห่งนั้นอีกครั้ง คนมีจำนวนมากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เป็นเหตุให้รถม้าแล่นได้ช้าลง
มู่หรงชงเอ่ยถาม “อาเฉิน ตามความเห็นของเจ้า ต่อไปพวกเราควรทำอะไร”
มู่เฉินตอบ “ทหารหาญ แม่ทัพเก่ง ยุทโธปกรณ์ เสบียง…รวมถึงชื่อเสียงส่วนตัวของท่าน”
มู่หรงชงกล่าว “ฝูเจียนหละหลวมต่อทางนี้ยิ่ง หากพวกเราวางแผนและเตรียมการอย่างลับๆ เขาน่าจะไม่ค้นพบ”
มู่เฉินเอ่ยว่า “ทหารหาญฝึกยาก แม่ทัพเก่งยากจะได้ตัวมา อีกประการหนึ่งบัดนี้ในมือท่านไม่มีกำลังทหารใดๆ เริ่มตั้งแต่ต้นอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามปี รับรองได้หรือไม่ว่าจะไม่ถูกค้นพบ”
“ได้” มู่หรงชงตอบยิ้มๆ “พี่หงขนานนามเมืองผิงหยางว่าเมืองแห่งอิสระ ไม่เพียงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ดี ยังเป็นเพราะว่ามีคนแปลกคนพิเศษผ่านไปมามากยิ่ง…”
มู่หรงชงกำลังพูดก็พลันมีเสียงเอ็ดตะโรร้องห่มร้องไห้ดังมาจากด้านนอก ตามติดมาด้วยเสียงดังโครมและเสียงกรีดร้อง ก่อนจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นท่ามกลางฝูงชน
มู่เฉินแหวกม่านออกดู หน้าเปลี่ยนสีทันควัน แล้วพูดด้วยอารามตะลึงพรึงเพริด “นี่ก็ออกจะ…อิสระเกินไป”
นางพูดจบก็ปล่อยม่านลง รีบกระโดดลงจากรถม้า
มู่หรงชงตามหลังไปติดๆ
ในตลาดชายฉกรรจ์ร่างอ้วนผู้หนึ่งที่ท่อนบนเปลือยเปล่าชี้ศพสตรีบนพื้นที่เพิ่งวิ่งชนกำแพงตายพลางกล่าว “นางตายแล้วอย่างไร เงินที่ติดข้าก็ยังไม่คืนเหมือนเดิม! มีใครต้องการซื้อนางเด็กสองคนนี้หรือไม่”
ศพสตรียังคงอุ่นอยู่ เด็กสาวอายุสิบกว่าปีสองคนกอดนางไว้หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาพลางร้องเรียก “ท่านแม่”
คนทั้งหลายพากันติเตียนเจ้าอ้วนที่ทำให้คนตาย แต่เขากลับพูดด้วยท่าทางเหมือนบอกว่าติดหนี้แล้วใช้คืนเป็นเรื่องสมควรแล้ว “ไม่มีใครซื้อ ข้าก็จะไปขายให้หอบุปผชาติแล้ว!” พูดพลางย่อตัวลงบีบคางเด็กสาวคนหนึ่ง “นางเด็กนี่หน้าตาดีเสียจริง น่าจะขายได้เงินไม่น้อยทีเดียว!”
เด็กสาวหายตกใจแล้วก็พลันกัดมือเจ้าอ้วน
“อ๊าก!” เจ้าอ้วนร้องด้วยความเจ็บ สะบัดมือตบหน้าเด็กสาวอย่างแรง “นางเด็กหน้าเหม็น! รนหาที่ตาย!”
เขากำลังคิดจะยกเท้าถีบ มู่เฉินก็มองมู่หรงหย่ง
มู่หรงหย่งเข้าใจ ใช้ฝักกระบี่ฟาดไปที่ขาของเจ้าอ้วน
ชายฉกรรจ์ร่างอ้วนเจ็บ พูดด้วยอารามเดือดดาลจัด “ใครบังอาจมายุ่งเรื่องของข้า!”
มู่หรงหย่งตอบ “นายท่านของข้ามีฐานะสูงส่ง กะพริบตาทีเดียวก็ใช้ห้าม้าแยกร่างเจ้าได้แล้ว เจ้าว่ายุ่งได้หรือไม่เล่า”
เจ้าอ้วนผู้นั้นมองมู่หรงชงปราดหนึ่ง เห็นเขาแต่งกายหรูหราไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปก็มีท่าทีอ่อนลงมากในทันที พูดเสียงอ่อนว่า “ติดหนี้แล้วใช้คืนมิใช่เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไร นางติดหนี้ข้าเป็นเงินสิบสองจู ตายไปเยี่ยงนี้แล้วข้าจะไปทวงกับผู้ใด”
มู่เฉินจึงว่า “เจ้าบีบคั้นคนจนตายแล้ว ยังจะหน้าหนาไร้ยางอายปานนี้อีก?!”
เด็กสาวที่ถูกตบเมื่อครู่นี้มองออกว่าคนไม่กี่คนนี้สามารถช่วยตนเองได้ ด้วยกลัวจะพลาดโอกาสนี้ไป เห็นมู่หรงชงมีท่าทางไม่สามัญนางจึงคลานเข่าไปจับชุดของเขาไว้แล้วพูดทั้งน้ำตาว่า “คุณชายได้โปรดช่วยพวกข้าด้วย! น้องสาวข้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว คุณชายได้โปรดช่วยนางด้วย! ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่าน!”
มู่เฉินเห็นมู่หรงชงมองมือเล็กสกปรกของเด็กสาวนางนั้นพลางเริ่มมุ่นคิ้ว
นางกลัวว่าเขาจะรังเกียจ กำลังคิดจะก้าวไปอุ้มเด็กสาวออก ไม่คาดว่ามู่หรงชงกลับยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กสาว แม้หัวคิ้วยังมุ่นอยู่ แต่มิได้แสดงท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์
มู่เฉินโล่งใจก่อนเดินไปประคองเด็กสาวอีกคนให้ลุกขึ้น
มู่หรงชงออกคำสั่ง “ใช้เงินคืนแล้วพาคนไป”
มู่หรงหย่งตอบ “ขอรับ!”
มู่หรงชงพูดจบก็จูงเด็กทั้งสองเดินตามกันกลับรถม้า
มู่หรงหย่งหยิบเงินจำนวนสิบสองจูออกมาให้เจ้าอ้วน เจ้าอ้วนรับไปด้วยหน้าตาเบิกบาน ไม่คาดว่าเขาเพิ่งจะเก็บเงินเรียบร้อยกระบี่ของมู่หรงหย่งก็พาดอยู่บนคอเขาแล้ว
เจ้าอ้วนหดคอพลางถามอย่างตกประหม่า “เจ้า…เจ้าทำอะไร มิใช่ใช้หนี้หมดสิ้นกันแล้วหรือ”
มู่หรงหย่งตอบ “เรื่องเงินจบแล้ว แต่เรื่องชีวิตคนยังไม่หายกัน เจ้านายของข้าบอกไว้ชัดเจนยิ่ง ‘ใช้เงินคืนแล้วพาคนไป’ ”
เจ้าอ้วนพูดด้วยท่าทางประหม่า “คน?…คนเขาก็พาไปแล้วนี่”
“เขาหมายถึงเจ้า”
“ข้า? เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”
“แน่นอนว่าเป็นที่ว่าการ” มู่หรงหย่งมองเขายิ้มๆ “ตามกฎหมายผู้ที่สังหารคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
มู่หรงชงและมู่เฉินพาเด็กทั้งสองกลับถึงจวน ชุนหยาให้พวกนางกินอาหาร หลังจากนั้นถึงล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ต่อมาก็ให้มู่หรงหย่งพาไปนอกเมืองเพื่อฝังมารดาของพวกนาง
ขณะกลับมาเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว มู่เฉินเห็นแก่ที่พวกนางยังอายุน้อย ทั้งยังได้รับความตกใจ จึงให้ชุนหยาจัดการให้พวกนางพักอยู่ในเรือนของตนเอง
มู่หรงชงกล่าวยิ้มๆ “พาพวกนางกลับมา เดิมคิดว่าจะมีคนมาปรนนิบัติเจ้าเพิ่มสองคน กลับกลายเป็นว่าต้องมาดูแลพวกนางแทน”
มู่เฉินมองพวกนางพลางถาม “พวกเจ้ามีนามว่าอะไร”
เด็กสาวที่อายุมากกว่าตอบอย่างขลาดกลัว “ข้ามีนามว่าเซวียจิ่นเหยียน น้องสาวมีนามว่าเซวียเซิ่นสิง ท่านพ่อของพวกเราเป็นบัณฑิต เนื่องจากเขาป่วยหนัก ท่านแม่ถึงได้ไปยืมเงิน” นางรีบพิสูจน์ตัวว่าพวกนางสองพี่น้องมาจากครอบครัวบริสุทธิ์จริงๆ
มู่หรงชงกล่าว “ระวังวาจาระวังกิริยาเป็นชื่อที่ดี”
เซวียจิ่นเหยียนเงยหน้ามองมู่หรงชงพลางว่า “ท่านพ่อเคยบอกว่ารูปโฉมภายนอกเป็นผลมาจากจิตใจ ท่านเจ้าเมืองหน้าตาน่ามองเพียงนี้จะต้องเป็นคนดีมากแน่นอน”
มู่หรงชงไม่ชอบให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์รูปโฉมของเขาเสมอมา แต่เซวียจิ่นเหยียนพูดได้มีจังหวะจะโคน ท่าทางจริงจังยิ่งยวด ทำให้เขาถึงกับไร้วาจาจะโต้ตอบ
มู่เฉินพลันหัวเราะออกมา
เซวียเซิ่นสิงที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่สาวมาโดยตลอดมองมู่หรงชงก่อนมองมู่เฉิน แล้วเอ่ยถามขึ้นเสียงเล็กว่า “พวกเราจะไม่ถูกขายไปหอบุปผชาติแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
มู่เฉินหยอกพวกนาง “จวนเจ้าเมืองยังไม่ได้ขาดแคลนเงินถึงเพียงนั้น วันใดไม่มีจะกินแล้วค่อยพิจารณาว่าจะขายพวกเจ้าดีหรือไม่” ว่าแล้วก็หันไปถามมู่หรงชง “หอบุปผชาติคือสถานที่ใดหรือ”
มู่หรงชงตอบ “หอคณิกา หากสนใจวันหน้าจะพาเจ้าไปดู”
มู่เฉินเข้าใจในทันทีจึงไม่ถามให้มากความอีก สถานที่แห่งนั้นเป็นที่ที่สตรีไปได้เสียที่ใดกัน
เซวียจิ่นเหยียนและเซวียเซิ่นสิงมองกันและกันแล้วก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวเช่นกัน
นับแต่บัดนี้จวนเจ้าเมืองผิงหยางก็มีเด็กที่ตั้งจิตอธิษฐานทุกวันเพิ่มมาสองคน
หวังให้ท่านเจ้าเมืองที่มีหน้าตาน่ามองยิ่งยวดผู้นี้นับวันยิ่งมีเงิน ทางที่ดีต้องร่ำรวยล้นฟ้า เช่นนี้พวกข้าจะได้ไม่ต้องถูกขายทิ้งไป…