ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน ม้วนที่ 2 บทที่ 3-4
ในห้องเก็บฟืนอันมืดมิดจิ่งสิงที่นอนอยู่บนพื้นยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเล่าต่อว่า “ข้าจัดให้องค์หญิงประทับอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองฉางอัน รอคนทั้งหลายคิดว่านางสิ้นพระชนม์แล้ว พวกข้าถึงได้ออกเดินทางมาผิงหยาง ระหว่างทางนี้มิได้มีเรื่องใดเกิดขึ้น แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าเพิ่งมาถึงเมืองผิงหยางก็จะพบเข้ากับปีศาจร้ายพวกนี้”
มู่เฉินกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหงจูแห่งหอบุปผชาติอีผิ่นนี้เป็นผู้ใดกันแน่”
จิ่งสิงส่ายหน้า “ไม่รู้”
ประตูห้องเก็บฟืนพลันถูกคนถีบเปิด บ่าวไม่กี่คนถือคบเพลิงเข้ามา ผู้ที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า “ข้าได้ยินเสียงดังออกมาจากตรงนี้ คนผู้นี้หนีมาจากที่ใด”
มู่เฉินกับจิ่งสิงต่างตกใจ แต่เพียงไม่นานมู่เฉินก็กลับมามีท่าทีปกติ ลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าเป็นแขกของอาหญิงหงจู”
“แขก? แขกจะมาโผล่อยู่ในนี้ได้อย่างไร”
มู่เฉินจึงว่า “พี่ชายข้าถูกอาหญิงหงจูพาตัวกลับมาไว้ในห้อง ข้ามาหาเขา ใครจะไปรู้ว่าที่แห่งนี้ของพวกเจ้าสลับซับซ้อน ข้าจึงเดินหลงทาง”
เหล่าบ่าวไพร่ต่างมองกันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไรดีไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็ตะโกนว่า “อาหญิง!”
เหล่าบ่าวไพร่พากันทำความเคารพ มู่เฉินเงยหน้ามอง เห็นเพียงหงจูกับมู่หรงชงเดินตามกันมา
มู่หรงชงมองเห็นมู่เฉินก็เดินมาหา “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเดินส่งเดชได้อย่างไร ข้าตามหาแทบแย่!”
เขาไม่เคยเรียกข้าสนิทสนมปานนี้ มู่เฉินอึ้งงันไปเล็กน้อย
มู่หรงชงก้าวมากุมมือนางไว้แล้วหันไปพูดกับหงจู “ขออภัยด้วยจริงๆ รบกวนแล้ว”
หงจูมองมู่เฉินอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปราดหนึ่ง ก่อนเลื่อนสายตาไปหยุดบนตัวจิ่งสิง “อะไรกัน แม่นางถูกใจคนผู้นี้เสียแล้ว?”
ไม่รอให้จิ่งสิงมีการตอบสนองมู่เฉินก็ชิงพูดว่า “อาหญิงหงจู เขาเป็นสหายข้าจริงๆ หาก…หากก่อนหน้านี้เขาได้ล่วงเกินท่านไป หวังว่าท่านจะให้อภัยแล้วปล่อยสหายร่วมทางของเขามาด้วยกัน”
หงจูมองไปยังมู่หรงชง “พวกท่านมีข้อเรียกร้องกันไม่น้อยเลยนะ”
มู่หรงชงเพียงยิ้ม หาได้ตอบอะไรไม่
“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเห็นสภาพพรรค์นี้ของเจ้าก็ทำข้าหมดอารมณ์แล้ว ไปเถอะๆ ทว่าแม่นางที่ปากร้ายยิ่งผู้นั้นไม่รู้ว่าทันกาลหรือไม่…”
จิ่งสิงพูดด้วยอารามเป็นกังวล “คำพูดนี้หมายความเช่นไร”
“ก็หมายความตามที่เจ้าคิดน่ะสิ” หงจูปิดปากหัวเราะเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป
ขณะพวกมู่เฉินหาฝูเป่าพบนางกำลังนอนอยู่บนเตียงสลักลายปิดทองเตียงใหญ่ บุรุษในห้องถอดเสื้อผ้าออก ส่วนฝูเป่าก็แถบรัดเอวคลายออกแล้วเช่นกัน
จิ่งสิงมองเห็นภาพนี้ก็ดวงตาแทบถลน ไม่มีเวลามัวคำนึงว่าบนขาของตนเองมีบาดแผล และก็ไม่มีเวลามัวคำนึงว่าเขามีมือเพียงข้างเดียว ได้แต่ซัดกำปั้นเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
บุรุษในห้องผู้นั้นทำท่าจะบันดาลโทสะ มู่หรงชงจึงพูดเสียงเย็น “นับถึงสาม หากเจ้ายังไม่ไป ข้าจะจัดการเจ้าเสียที่นี่”
“เจ้า…พวกเจ้าคอยดูเถอะ!” เขาใบหน้าบวมแดง ฉวยเสื้อผ้าของตนเองขึ้นมาแล้วกุลีกุจอออกจากห้อง
ทางด้านสตรีที่นอนอยู่บนเตียงได้ร่ำไห้จนเครื่องประทินโฉมหลุดนานแล้ว นางจับเสื้อผ้าของตนเองแน่น พอมองเห็นมู่หรงชงแววตาที่เดิมทีสิ้นหวังนั้นก็เผยแววเฝ้ารอออกมา ร้องเรียกว่า “พี่เฟิ่ง…”
คนผู้นี้ก็คือฝูเป่า องค์หญิงซีชิ่งที่ถูกคิดว่าตายไปในทะเลเพลิงที่ตำหนักเว่ยยางแล้ว
จิ่งสิงมองเห็นสายตาของนางที่มองไปยังมู่หรงชงแล้วก็ให้ปวดใจ เขาถอยหลังสองสามก้าว เดินไปอยู่ด้านหลังมู่หรงชง
มู่หรงชงกลับมิได้เดินไปหา
มู่เฉินทนดูต่อไปไม่ได้ ก้าวไปช่วยสวมเสื้อผ้าให้ฝูเป่า แต่ฝูเป่าผลักนางออกพลางพูดปนสะอื้นว่า “เจ้าหยุดเสแสร้งได้แล้ว บอกว่าไปเมืองฉางอันเพื่อตามหาน้องสาว แต่ประเดี๋ยวก็คิดจะเข้าใกล้ท่านอาหมัวของข้า ประเดี๋ยวก็ลักลอบเข้าวัง บัดนี้ยังมาอยู่กับพี่เฟิ่งอีก!”
มู่เฉินกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “องค์หญิง…เรื่องบนโลกยากจะคาดคิด”
จิ่งสิงเห็นฝูเป่าขดตัวไหล่สั่นอยู่ตรงนั้น ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว “องค์หญิง จิ่งสิงล่วงเกินแล้ว” เขาก้าวไปหาโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้คัดค้าน หลับตาหยิบชุดตัวนอกของฝูเป่ามาคลุมให้แล้วอุ้มนางขึ้น “พวกเราไปจากที่นี่เร็วหน่อย เจ้าเมืองมู่หรง ไปจวนท่านสะดวกหรือไม่”
มู่หรงชงกล่าว “ไปกันเถอะ”
เพิ่งเดินมาถึงปากประตูกลับเห็นหงจูยืนอยู่ตรงนั้น นางยิ้มกว้างมองพวกเขาพลางว่า “แม่นางผู้นี้ไม่บาดเจ็บแม้เพียงปลายผม ดูท่าพวกท่านจะมาทันเวลาอยู่”
มู่หรงชงจึงว่า “วันนี้ขอบคุณอาหญิงหงจูมาก เฟิ่งหวงจะมาเยี่ยมเยียนใหม่วันหน้า วันนี้ขอลาไปก่อน”
“ช้าก่อน เจ้าเมืองมู่หรง วันหน้าหอบุปผชาติของข้าคงต้องอำนวยความสะดวกให้ท่าน แต่ยามนี้ท่านออกไปเยี่ยงนี้ออกจะไร้น้ำใจเกินไป”
“คำพูดนี้หมายความเช่นไร”
หงจูมีสีหน้าลำบากใจ “บัดนี้การค้าทำได้ยาก แต่ไหนแต่ไรมาหอบุปผชาติของเราตั้งแต่ยามจื่อถึงยามอิ๋น ไม่เคยมีแขกเดินออกข้างนอก หากหลังยามจื่อยังมีแขกจากไปได้ลงคอ เรื่องแพร่ออกไปชื่อเสียงที่สร้างมาอย่างยากลำบากนี้คงได้ลดน้อยถอยลงไปมาก ท่านเจ้าเมือง เมื่อครู่พวกเราคุยกันไปมากมายปานนั้น ภายภาคหน้าทุกเรื่องล้วนเป็นไปได้ ท่านคงมิอาจปล่อยให้ข้าหาทางลงมิได้กระมัง”
มู่หรงชงกล่าว “เช่นนั้นรบกวนเตรียมห้องให้พวกข้าด้วยสี่ห้อง”
“สี่ห้อง? พวกท่านรักและห่วงใยกันดีเสียจริง” หงจูโยนป้ายไม้สองป้ายมาให้มู่หรงชง “เหลือแค่สองห้องแล้ว ท่านเจ้าเมืองเพิ่งเคยมาเยือน วันนี้ข้าออกค่าห้องให้แล้วกัน!”
นางพูดจบก็เดินนวยนาดจากไป
ฝูเป่าดิ้นจะลงจากอ้อมแขนของจิ่งสิง “ข้าจะอยู่ห้องเดียวกับพี่เฟิ่ง!”
จิ่งสิงจึงกล่าวว่า “บุรุษสตรีมีความแตกต่างกัน ข้าอยู่ห้องเดียวกับท่านเจ้าเมืองก็แล้วกัน”
มู่หรงชงมองฝูเป่าที่มีคราบน้ำตาเปื้อนเต็มหน้าเล็กน้อย ก่อนมองจิ่งสิงที่เสื้อผ้าสกปรกยุ่งเหยิง จากนั้นก็จูงมือมู่เฉินเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
มู่เฉินรู้แก่ใจดีว่าเขารังเกียจที่สองคนนั้นไม่จัดการตนเองให้สะอาดจึงอดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้
มู่หรงชงหันหน้ามามองนาง “เจ้ามีความสุขมากหรือ”
มู่เฉินหุบยิ้ม เม้มปาก ก่อนพยักหน้าแล้วส่ายหน้า
พวกเขาหาห้องตามอักษรบนป้ายไม้พบแล้วมู่หรงชงก็เปิดประตูแล้วรุนตัวมู่เฉินเข้าไปเบาๆ “พักผ่อนให้เต็มที่”
มู่เฉินหลุดปากถาม “แล้วท่านเล่า”
“เฝ้าประตู”
มู่หรงชงหันหลังเดินออกไป หับประตูปิดเบาๆ