ในห้องมีกลิ่นไม้กฤษณาจางๆ กำจายอยู่ มู่เฉินสูดกลิ่นนี้แล้วก็รู้เพียงว่าเตียงที่ใต้ร่างช่างอ่อนนุ่มยิ่งยวด แต่เหตุใดนอนอยู่เป็นนานกลับไม่ง่วงเลยสักนิด
เทียนบนโต๊ะใกล้จะหมดเล่มแล้ว ไส้ตะเกียงสั้นลงทุกที แสงก็มืดลงเรื่อยๆ เช่นกัน
ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เทียนดับมอด ภายในห้องตกอยู่ในความมืด
มู่เฉินพลิกตัว ท้ายที่สุดก็ยังคงลุกขึ้นยืน
นางเปิดประตู มองเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินนั้น
รูปร่างของมู่หรงชงหาได้ดูสูงใหญ่กำยำไม่ แต่พอเขายืนแล้วกลับดูสูงตระหง่านเสมอ ที่ไม่ไกลกันเป็นต้นไม้ที่ปลูกเรียงกัน เงาของมู่หรงชงปะปนอยู่ท่ามกลางพวกมัน ดูคล้ายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งเช่นกัน
ต้นไม้ที่เติบโตโดยธรรมชาติ ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุด
เขารู้สึกถึงการจ้องมองจากคนที่ด้านหลัง พอหันหลังกลับมาก็มองเห็นมู่เฉินยืนอยู่ปากประตู
ภายในห้องมืดมิด กลับเป็นข้างนอกห้องที่มีแสงจันทร์แสงดาวส่องสว่าง
มู่เฉินไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่พูดไปตามสถานการณ์ “เทียนหมดเล่มแล้ว”
มู่หรงชงถาม “เจ้ากลัวความมืด?”
เขายืนอยู่ด้านนอกนานแล้ว เสียงจึงแหบแห้งอยู่บ้าง
มู่เฉินตอบ “มิใช่”
“เช่นนั้นเหตุใดยังไม่นอน”
“ข้างนอกหนาว ท่านไปนอนข้างในเถอะ”
เห็นมู่หรงชงยืนนิ่ง มู่เฉินก็ดันให้เขาเดินเข้าไป “ไปสิ”
“อาเฉิน” มู่หรงชงเรียกนางเบาๆ “ข้าเป็นบุรุษ”
“ในเมื่อข้ายังไม่ถือสา ท่านจะกระบิดกระบวนอยู่ไย” มู่เฉินพูดพลางเดินเข้าข้างในต่อ ที่นี่มืดเกินไป นางมองเห็นธรณีประตูใต้เท้าไม่ชัด ยามเหยียบลงไปก็หวิดจะล้ม
มู่หรงชงกอดนางไว้ทันที แม้มิได้พูดจา แต่เขากอดนางไว้แน่นยิ่ง
ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้มาก
“เช่นนี้ก็ยังไม่ถือสาหรือ”
“…อะไร”
“ที่เมื่อครู่เจ้าบอก ‘ไม่ถือสา’ ”
มู่เฉินดันอกเขาพลางว่า “ไยท่านจึงน่าเบื่อปานนี้นะ”
นี่มิใช่ครั้งแรกที่มู่หรงชงกอดนาง นางถึงขั้นคุ้นเคยกับอ้อมกอดของเขาอยู่สักหน่อยด้วยซ้ำ แผ่นอกเขากว้างกว่าที่เห็น บ่าก็แข็งกว่าที่คิด สิ่งที่ไม่เหมือนที่แล้วมาคือนางดันเขาเช่นนี้แล้ว แต่เขามิได้ปล่อยมือ
มู่เฉินชักโมโหแล้วจึงเปล่งเสียงเรียก “เฟิ่งหวง!”
มู่หรงชงปล่อยมือแล้ว เดิมมู่เฉินนึกว่าเขาจะปล่อยตนเองแล้ว ขณะจะเดินไปข้างหน้าทันใดนั้นร่างกายนางก็เบาหวิว กว่าจะรู้สึกตัวทั้งตัวคนก็ลอยขึ้นจากพื้นแล้ว
“ท่านทำอันใด รีบปล่อยข้าลง!”
มู่หรงชงแสร้งทำเป็นเมินไม่ฟัง หลังใช้เท้าปิดประตูก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าด้านใน แล้ววางมู่เฉินลงบนเตียง เขาใช้มือหนึ่งรองไว้ข้างหูมู่เฉิน อิริยาบถนี้แทบจะกักขังนางไว้ให้มิอาจขยับเขยื้อนได้
มู่เฉินร้อนใจแล้วจึงพูดด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง “มู่หรงชง ท่านเป็นบ้าหรือ!”
มู่หรงชงมองนางพลางตอบ “ข้าบอกแล้วว่าประเดี๋ยวจะมาคิดบัญชีกับเจ้า”
มู่เฉินนึกขึ้นได้ว่าขณะอยู่ชั้นล่างก่อนหน้านี้มู่หรงชงเคยเอ่ยคำพูดนี้จริงๆ จึงอดจะใจสั่นอยู่บ้างไม่ได้ “ท่าน…ท่านคิดจะทำอย่างไร”
“ตกใจแล้ว?” มู่หรงชงหัวเราะเบาๆ “ตกใจแล้วก็ดี เจ้าจะได้เข็ดหลาบเสียบ้าง วันข้างหน้าห้ามมาล้อเล่นกับข้าอีก”
เขาลุกขึ้น คลำหาเทียนเล่มหนึ่งออกมาจากในตู้แล้วจุดมัน ในห้องสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง
“พักผ่อนให้เร็วหน่อย” มู่หรงชงพูดพลางเดินไปนอนลงที่ตั่ง ตั่งนั้นมีความยาวไม่พอ เขาจึงได้แต่นอนตะแคงพลางงอหลังเล็กน้อย
มู่เฉินเอนตัวนอนลงใหม่ มองดูคานห้องพลางเอ่ยปากถาม “ท่านกับหงจูเจรจากันได้ด้วยดีกระมัง”
มู่หรงชงตอบรับเบาๆ “ดีอยู่”
เดิมทีมู่เฉินเตรียมคำถามถัดไปไว้แล้ว แต่ขณะที่มู่หรงชงพูดคำว่า ‘ดี’ นางก็ผล็อยหลับไปแล้ว
มู่หรงชงได้ยินเสียงหายใจเบาๆ จากนาง ร่างกายที่เหนื่อยล้ามาเป็นเวลานานก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก ฝูเป่าร้องเรียก “พี่เฟิ่ง! ท่านเปิดประตูนะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน!”