บทที่ 4 พฤติกรรมจิ่งสิง
ฝูเป่าเคาะประตูเสียงดังยิ่ง ขณะมู่หรงชงพลิกตัวลุกขึ้นมู่เฉินก็สะดุ้งตื่นแล้วลุกขึ้นยืนเช่นกัน
มู่หรงชงกล่าว “ข้าจะไปดูหน่อย”
พอเขาเปิดประตูฝูเป่าก็พุ่งปราดเข้ามาจับมือมู่หรงชงพลางว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญยิ่งอยากจะพูดกับท่านตามลำพัง” ว่าพลางหางตาก็เหลือบมองมู่เฉิน
มู่เฉินถอยออกไปอย่างรู้ตัวดี
มู่หรงชงเรียกเบาๆ “อาเฉิน”
มู่เฉินจึงว่า “ข้าไม่ไปที่ใดไกลหรอก พวกท่านคุยกันเสร็จแล้วก็เรียกข้า”
มู่หรงชงเม้มปาก “ตกลง”
มู่เฉินปิดประตู รู้สึกว่าไม่สะดวกจะยืนอยู่ที่เดิมจึงเดินช้าๆ ไปตามระเบียงทางเดิน ขณะเดินผ่านห้องก่อนหน้านี้นางเห็นประตูเปิดอยู่ จิ่งสิงยืนอยู่ตรงประตู
เขามองเห็นมู่เฉินก็ยิ้มบางๆ ก่อนว่า “ข้าขออภัยแทนนางด้วย นางเป็นเพียงเด็กยังไม่โต หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บไปใส่ใจ”
มู่เฉินกล่าว “ไม่หรอก”
จิ่งสิงมองท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต ลังเลเล็กน้อยจู่ๆ ก็ถามว่า “แม่นางมู่ อันที่จริงบนโลกนี้ไม่มีศาสตร์แห่งกษัตริย์กระมัง”
มู่เฉินเย็นสันหลังวาบ นางยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
จิ่งสิงหาได้ซักไซ้ต่อไม่ เพียงถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ความลึกลับในเรื่องนี้อาจารย์เคยพูดถึงผ่านๆ เพียงแต่ยังไม่ทันได้บอกทั้งหมด มิทราบว่าวันนี้แม่นางจะช่วยตอบคำถามได้หรือไม่”
มู่เฉินหันไปมองท่าทางอ่อนน้อมและสายตาสงบนิ่งของเขาพลางตอบ “ไปคุยกันในห้องเถอะ”
ในห้องของมู่หรงชง ฝูเป่ากำลังมองเขาพลางพูดด้วยสองตาแดงก่ำ “พี่เฟิ่ง ท่านไม่ชอบข้าเลยสักนิดจริงๆ หรือ”
มู่หรงชงขมวดคิ้ว “ท่านมาเคาะประตูตอนดึกดื่นเที่ยงคืนเพียงเพื่อพูดเรื่องนี้กับข้า?”
ฝูเป่าขยับเข้าใกล้เขาทีละน้อย มู่หรงชงก็ปล่อยให้นางเข้าใกล้โดยไม่ขยับเขยื้อน ขณะที่ริมฝีปากของนางใกล้จะแนบกับหูของมู่หรงชงเขาก็จับมือนางให้หยุด
ฝูเป่าชะงัก ครั้นแล้วก็พูดข้างหูเขาเบาๆ “ข้าเห็นมู่หรงหย่งฆ่าคน”
มือของมู่หรงชงที่บีบฝูเป่าอยู่พลันกำแน่นขึ้น
“อนุที่ปิดบังใบหน้านางนั้นในจวนท่านอาหมัว มู่หรงหย่งฆ่านาง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชิงหลวนใช่หรือไม่ ท่านไม่อยากให้ชิงหลวนหาน้องสาวนางพบ?”
แววตามู่หรงชงแปรเปลี่ยนไปสารพัดในชั่วพริบตา มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งประกายตาเขาถึงขั้นมีแววสังหารพรั่งพรูออกมา
…ฆ่าฝูเป่ากับจิ่งสิงทิ้งเสียในที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาแห่งนี้
ฝูเป่ามองไม่เห็นแววตาของมู่หรงชง นางเพียงวางหน้าผากลงกับบ่าเขาเบาๆ พูดเสียงนุ่มว่า “พี่เฟิ่ง ข้าจะไม่บอกผู้ใด ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่”
มือของมู่หรงชงเอื้อมไปที่คอฝูเป่าอย่างช้าๆ
“องค์หญิงซีชิ่งตายไปแล้ว ต่อไปข้าเป็นเพียงอาเป่าที่อยู่ข้างกายท่าน ในคืนนั้นเดิมทีข้าเพียงแต่เคืองใจ กลับไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นฉากนั้น ข้าวางเพลิงก็เพื่อปกป้องมู่หรงหย่ง พี่เฟิ่ง ท่านเชื่อข้าสิ ข้ายินดีทำได้ทุกเรื่องเพื่อท่าน”
มือของมู่หรงชงหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ในดวงตามีแววลังเลเล็กๆ วาบผ่าน แต่ในระหว่างที่ลังเลนี้เองมู่เฉินก็ได้กลับมาแล้ว
ประตูห้องไม่ได้ปิดสนิท เดิมนางคิดจะเคาะประตู ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะแตะถูกประตูก็เปิดออกแล้ว นางมองเห็นฝูเป่าแทบจะตระกองกอดมู่หรงชงอยู่ ส่วนมือที่ยื่นอยู่กลางอากาศของมู่หรงชงก็เหมือนกำลังจะกอดตอบอีกฝ่าย
นางเดินออกมาข้างนอกตามจิตใต้สำนึก
“อาเฉิน!” มู่หรงชงเรียกเบาๆ ดันตัวฝูเป่าออกอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าความตื่นตระหนกที่จู่ๆ มาเยือนในใจนั้นหมายความว่าอะไร เพียงเร่งฝีเท้าไปจับมู่เฉินไว้ พูดด้วยความร้อนใจ “เจ้าอย่าเข้าใจผิด”
มู่เฉินหลบเลี่ยงมือของเขา “ขออภัยด้วย ข้าไม่รู้ว่าประตูไม่ได้ปิดอยู่”
มู่หรงชงหน้าบึ้งตึง “ข้าบอกว่า ‘เจ้าอย่าเข้าใจผิด’ ”
มู่เฉินมองเขาโดยไม่ตอบอะไร เพียงหันหน้าไปกล่าวกับฝูเป่า “จิ่งสิงให้หม่อมฉันมาบอกว่าเขาขอกลับฉางอันก่อน หลังจากนี้จะมาเยี่ยมองค์หญิงในเดือนนี้ของทุกปี”
ฝูเป่าเดิมทีไม่พอใจที่นางโผล่พรวดเข้ามา แต่ครั้นได้ยินว่าจิ่งสิงไปแล้วก็ย้ายความสนใจในทันที พูดเสียงเบาว่า “ไยเขาจึงไปโดยไม่บอกกล่าวข้าสักคำ”
มู่เฉินตอบ “อาจเพราะมีธุระด่วน”
ฝูเป่ายืนอยู่ตรงนั้น พยักหน้าด้วยท่าทางเซ่อซ่าอยู่บ้าง ตั้งแต่เล็กจนโตจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีของนางมาตลอด ดีต่อนางยิ่งกว่าพี่ชายในไส้ทั้งหลายเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจากไปโดยไม่ลาเช่นนี้