ปีนี้เป็นปีที่อากาศหนาวเย็น ใกล้ถึงสิ้นปีตั้งแต่ฟ้าจรดดินมีแต่สภาพไร้ชีวิตชีวา ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเหี่ยวแห้ง ทุกอย่างขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
ในเมืองผิงหยางวุ่นวายอยู่บ้าง นับตั้งแต่ทัพฉินยกพลไปตีเซิ่งเล่อในปีนี้ แถบอวิ๋นจงก็มีผู้ลี้ภัยอพยพลงใต้ไม่ขาดสาย นอกเมืองผิงหยางเองก็มีคนมารวมตัวกันไม่น้อย
ทว่าจวนเจ้าเมืองที่อยู่ในเมืองมีเพียงความสงบ หลังผ่านการบูรณะก็เป็นระเบียบเรียบร้อย บนขื่อประตูใหญ่แขวนป้ายคำว่า ‘จวนเจ้าเมือง’ ที่มู่หรงชงเขียนด้วยตนเองเอาไว้ เมื่อเดินเข้าไปจะเป็นห้องโถงใหญ่ซึ่งแขวนป้ายไว้ป้ายหนึ่งเช่นกัน เป็นลายมือของมู่เฉิน
การวางตำแหน่งต่างๆ ในจวนหลักๆ แล้วเป็นไปตามความคิดของมู่เฉิน จึงค่อนข้างมีรูปแบบฮั่นอยู่พอสมควร ด้านหน้ามีสระน้ำ มีภูเขาหิน ด้านหลังมีศาลาริมน้ำ มีเรือนเล็กๆ ตรงกลาง มีห้องหนังสือ ห้องพิณ และห้องชงชา นอกห้องชงชาทำตามความชอบของมู่หรงชง สร้างศาลาเล็กหลังหนึ่งเตรียมไว้สำหรับใช้ชมหิมะในฤดูหนาว
เรือนใหญ่อันเป็นที่พักของมู่หรงชงมีชื่อว่า ‘เรือนอู๋ถง’ มู่หรงหย่งได้เปลืองความคิดความอ่านย้ายต้นอู๋ถงจำนวนมากมาจากที่อื่น ดูเติบโตได้ดีเป็นที่สุด มู่เฉินพักในเรือนเฉี่ยนจิ้งซึ่งอยู่ด้านขวาของเรือนใหญ่ ส่วนด้านซ้ายที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามเป็นหอชิ่นเสวี่ยของฝูเป่า สองที่นี้อยู่ห่างจากเรือนใหญ่พอๆ กัน ทว่าตอนแรกฝูเป่าดึงดันจะเดินทีละก้าว ใช้รองเท้าของตนเองวัดระยะทางสั้นยาวออกมา สุดท้ายก็ได้เลือกหอชิ่นเสวี่ยที่อยู่ใกล้กว่าสามก้าว
เดิมทีมู่เฉินคิดว่าฝูเป่าเป็นองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้านางกลับยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าสนใจ ลำพังแค่ความยึดติดที่ขนาดวัดระยะทางไปๆ กลับๆ สามรอบนี้ก็ทำให้นางเกิดความนับถือแล้ว
ตอนแรกมู่หรงชงให้เซวียจิ่นเหยียนกับเซวียเซิ่นสิงเลือกว่าใครจะไปรับใช้ฝูเป่า แต่พวกนางล้วนอยากอยู่ข้างกายมู่เฉิน ฝูเป่ารู้เรื่องก็มิได้โกรธ และยิ่งไม่ได้เรียกร้องให้มู่หรงชงหาสาวใช้คนอื่นให้ หนึ่งปีมานี้เรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ล้วนจัดการด้วยตนเอง ใช้ชีวิตได้ผ่อนคลายเรียบง่ายยิ่งยวด
ฝูเป่าชอบเกาะติดมู่หรงชง ไม่เคยโศกสลดแม้มู่หรงชงจะใช้สายตาเย็นชามองใส่มาเป็นเวลานาน
วันสิ้นปีมู่หรงชงเปรยขึ้นว่าจะแขวนยันต์ไม้ท้อที่หน้าประตู ฝูเป่าจึงวิ่งไปซื้อที่ตลาดด้วยตนเองโดยไม่สนว่าวันสิ้นปีเหล่าพ่อค้าแม่ค้าจะล้วนเฝ้าปีอยู่ที่บ้าน
มู่เฉินเลี้ยงพิราบขาวน้อยตัวนั้นอยู่ในเรือนเฉี่ยนจิ้ง หนึ่งปีมานี้ไม่เพียงดูแลจนมันหายดีแล้ว ยังขุนเสียจนอ้วนตุ้บ ทั้งยังอาศัยอยู่ในเรือนนางไม่ยอมจากไปแล้ว มู่เฉินจึงเลี้ยงมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยงเสียเลย และตั้งชื่อให้ว่า ‘เสี่ยวไป๋’
เสี่ยวไป๋กินอะไรไม่เรียบร้อย เมล็ดข้าวร่วงเต็มพื้น มันกระพือปีกสองทีอย่างเกียจคร้าน กินพลางเล่นพลาง
มู่เฉินคุกเข่าลง ใช้นิ้วดีดหัวมันเบาๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไยเจ้าจึงดื้อปานนี้หนอ”
เสี่ยวไป๋ส่งเสียงร้องสองทีพลางเอาหัวถูไถกับมือนาง ก่อนก้มหน้ากินต่อ
มู่เฉินยื่นมือไปเกามัน พูดกับตนเองว่า “รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น ความประพฤติของวงศ์ตระกูลของเราออกจะดี ไยจึงเลี้ยงลูกผู้สูงศักดิ์ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเจ้าออกมาได้นะ รีบยืนตัวตรง ว่าง่ายๆ หน่อย ยืนตัวตรง”
จากนั้นมีเสียงหัวเราะในลำคอจากด้านหลัง มู่เฉินหันหน้าไปก็เห็นมู่หรงชงยืนอยู่ใกล้นางยิ่ง
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร ข้าไม่ได้ยินเสียงเลยสักนิด”
“มาได้สักครู่แล้ว เห็นเจ้ากำลังใช้กฎบ้านทำโทษเจ้าเด็กอกตัญญูนี่อยู่จึงมิกล้าส่งเสียง”
คนทั้งสองล้วนเป็นคนพูดเล่นไม่เก่ง แต่โต้ตอบกันไปมาเช่นนี้กลับไม่รู้สึกห่างเหิน ทว่าคำอย่าง ‘ของเรา’ ‘กฎบ้าน’ ‘เด็ก’ นี้ เมื่อคิดดูดีๆ กลับมีความหมายต่างไปอยู่บ้าง
มู่เฉินย่อตัวนั่งนาน รู้สึกว่าขาชา หลังลุกขึ้นยืนถึงได้พบว่าขาทั้งสองข้างชาจนขยับไม่ได้แล้ว ได้แต่ยืนหายใจเข้าออกอยู่กับที่
มู่หรงชงยื่นมือไปหาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะประคองเจ้า”
มู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ประเดี๋ยวก็หาย”
เสี่ยวไป๋อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง กินพลางร้องพลาง “กรู๊วๆๆ กรู๊วๆๆๆ กรู๊วๆๆ…”
คนทั้งสองอยู่ห่างกันด้วยระยะเท่านี้ มู่เฉินใช้สองมือทุบน่องเบาๆ มู่หรงชงตั้งอกตั้งใจมองอยู่ด้านข้าง
เขากำลังมองอย่างตั้งใจจริงๆ สายตาจับจ้องแน่วนิ่งอยู่บนหน้ามู่เฉิน แสงแดดยามบ่ายส่องเฉียงมาจากด้านหลัง บนดวงหน้านางคล้ายว่าทอแสงอ่อนๆ แม้แต่เส้นผมก็ยังถูกย้อมเป็นสีทอง
มู่หรงชงส่องคันฉ่องบ่อยแล้ว ตั้งแต่เล็กก็ไม่รู้ว่าคนงามคือสิ่งใด แต่ชั่วเสี้ยวเวลานี้ในสมองเขาพลันมีคำนี้ผุดขึ้นมา คิดอย่างรู้สึกช้าว่าอาเฉิน…อาเฉินของเราอันที่จริงก็ดูดียิ่ง
ของเรา…คำที่มู่เฉินเผลอพูดออกมาก่อนนี้วนอยู่ในใจมู่หรงชงได้รอบหนึ่ง เขาถึงกับรู้สึกว่าเหมาะเจาะยิ่งยวด ความเหมาะเจาะนี้ทำให้ในใจเขาร้อนผ่าวขึ้นมาน้อยๆ
อาเฉิน…ของเรา
มู่เฉินขาหายชาแล้ว ในที่สุดก็กลับมาเดินได้ แต่ครั้นเงยหน้าขึ้นกลับสบเข้ากับสายตาลึกล้ำของมู่หรงชงที่จับจ้องอยู่พอดี แววตาของเขาต่างจากที่ผ่านมาเหลือเกิน อารมณ์ที่บอกได้ไม่ชัดเหล่านั้นโหมซัดอยู่ในที่มืด ชวนให้คนขบคิด
มู่หรงชงเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นนิ่งอึ้ง ก่อนเปลี่ยนจากขาวผ่องเป็นแดงเรื่อก็อดจะยกยิ้มมุมปากไม่ได้