ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน ม้วนที่ 2 บทที่ 5-6
ฝูเป่าไปซื้อยันต์ไม้ท้อ พอไปทีก็ไปเป็นครึ่งค่อนวัน
เดิมมู่หรงชงนึกว่านางห่วงเที่ยวเล่นจนลืมเวลา แต่เมื่อถึงยามตะวันตกดินมู่หรงหย่งมารายงานว่าคนยังไม่กลับมา มู่หรงชงถึงได้ให้คนออกไปตามหา ทว่าหาจนฟ้ามืดแล้ว กระทั่งบนถนนทั้งสายไม่มีคนอยู่แล้วก็ยังคงไม่เห็นเงาของฝูเป่า
มู่เฉินเสนอว่า “มิสู้ให้พวกเจ็ดสายไปหาจะดีกว่า หงจูด้วย นางมีลูกน้องจำนวนมาก”
หนึ่งปีมานี้พวกเขากับหงจูร่วมงานกันได้มีความสุขยิ่งยวด ห้องใต้ดินของหอบุปผชาติอีผิ่นกลายเป็นโรงจำนำลับ พร้อมกับที่หงจูได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ทรัพยากรกองทัพของมู่หรงชงก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน เขาถึงขนาดเริ่มเพาะเลี้ยงองครักษ์ลับ แต่ละคนมีวรยุทธ์เหนือผู้อื่น อีกทั้งจงรักภักดี เจ็ดคนนี้ไม่มีชื่อ เพียงใช้สายพิณทั้งเจ็ดเส้นเรียกแทนชื่อ
มู่หรงชงกล่าว “ข้าสั่งให้องครักษ์ลับไปตามหาแล้ว ส่วนทางหงจูเจ้าไปกับข้า สิ้นปีแล้ว ควรไปสะสางบัญชีสักหน่อยเช่นกัน”
มู่เฉินพยักหน้า “ตกลง”
หอบุปผชาติอีผิ่นเป็นดั่งที่แล้วมา ด้านนอกประตูมีรถม้าวิ่งขวักไขว่ ด้านในประตูหรูหราโอ่อ่าถึงขีดสุด
หลังมู่หรงชงกับมู่เฉินเดินเข้าไปจากประตูใหญ่ก็มีคนนำทางไปถึงห้องธรรมดาห้องหนึ่ง จากนั้นก็เดินลงจากทางลับใต้เตียงไปยังโรงจำนำใต้ดิน
ทางลับนี้ทำได้ลับยิ่งยวด ทุกๆ สองสามวันจะเปลี่ยนทางเข้าใหม่ แม้จะเป็นมู่หรงชงกับมู่เฉิน หากไร้ผู้นำทางก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะหาทางนี้เจอได้อย่างไร
มู่เฉินนึกขึ้นได้ว่าขณะมายังหอบุปผชาติครั้งแรกนางเคยหลงทางอยู่ที่นี่ เวลานั้นนางก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว บัดนี้เห็นทางลับที่เปลี่ยนไปต่างๆ นานานี้ยิ่งลงข้อสรุปได้ว่าภายในหอบุปผชาติอีผิ่นนี้มีผู้วิเศษที่แตกฉานด้านฉีเหมินตุ้นจย่า
สองข้างทางเดินแคบยาวที่มืดและชื้นมีตะเกียงน้ำมันจุดอยู่ ทำให้ทั้งห้องใต้ดินยิ่งดูหนาวเย็นอึมครึม หลังพวกเขาเดินเลี้ยวได้สองสามหนก็มาถึงห้องที่กว้างและสว่างในที่สุด
เนื่องจากเป็นการค้าลับผู้มาค้าขายยังโรงจำนำจึงล้วนใช้ผ้าดำคลุมหน้า เผยเพียงดวงตาสองข้าง เป็นเหตุให้ใครก็จำใครไม่ได้
สองข้างของห้องโถงนี้เป็นห้องเล็กๆ สองห้อง ที่ปิดอยู่แสดงว่ามีคนอยู่ วันนี้มีแขกมาค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงมีอยู่สองสามคนที่กำลังรออยู่ในโถง
มู่หรงชงเปลี่ยนมาสวมชุดลำลอง มู่เฉินเองก็แต่งกายในชุดบุรุษ ฉะนั้นขณะพวกเขาเข้ามาจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น กลับเป็นในหมู่แขกเสียอีก มีสองกลุ่มที่ดูสะดุดตายิ่งยวด คนหนึ่งเป็นบุรุษที่ดูคล้ายตกอับ จูงเด็กอายุราวหกเจ็ดขวบคนหนึ่งมาด้วย อีกคนเป็นหญิงสาวแต่งกายหรูหรางดงาม ศีรษะประดับเครื่องทอง
มู่เฉินประหลาดใจเล็กน้อย เห็นทีผู้ที่เข้าออกโรงจำนำใต้ดินนี้จะมีคนทุกประเภทปะปนกันตามคาดจริงๆ
บ่าวรับใช้พาพวกเขามาถึงห้องหนึ่งทางด้านหลังซึ่งเร้นลับยิ่งกว่า หงจูรออยู่ที่นั่นแล้ว เบื้องหน้านางมีสมุดบัญชีเล่มหนาวางไว้ตั้งหนึ่ง เห็นพวกมู่หรงชงเข้ามานางก็ผลักสมุดบัญชีไปหา มือหนึ่งเท้าคาง แล้วกล่าวยิ้มๆ “ปีนี้มีรายได้ดีพอสมควร ท่านเจ้าเมืองเตรียมจะขอบคุณข้าอย่างไร”
มู่หรงชงตอบ “แบ่งกำไรกัน”
“ยังคงไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถึงเพียงนี้” หงจูชำเลืองมองมู่เฉิน “ปกติเขาก็เป็นเช่นนี้กับเจ้า?”
มู่เฉินหน้าแดงแทบจะทันที ก่อนพูดอ้ำอึ้ง “พวกข้าไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”
หงจูพูดด้วยท่าทีดูแคลนยิ่งยวด “เสแสร้งไปเถอะ เสแสร้งต่อไป”
มู่หรงชงเปิดดูสมุดบัญชีอยู่ตรงนั้นคล้ายว่าหูไม่ได้ยินที่พวกนางคุยกัน มู่เฉินจึงเลื่อนสายตาไปอยู่ที่บัญชีทันที ขณะมองเห็นบรรทัดสุดท้ายใจก็ยิ่งเต้นเร็ว ตัวเลขนี้มากกว่าที่ตนเองประเมินไว้ก่อนหน้านี้มากโข
มู่หรงชงปิดสมุดบัญชีก่อนว่า “เรื่องโรงจำนำ ขอบคุณมากที่เปลืองสมองช่วยเหลือ พวกข้ามาครั้งนี้ยังมีอีกเรื่องใคร่รบกวน”
“รบกวนๆ ท่านรู้จักแต่รบกวนข้า คิดว่าหน้าตาดีแล้วกินแทนข้าวได้จริงๆ สินะ…” หงจูนั่งเล่นผมอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองมู่หรงชงปราดหนึ่ง “ก็ได้ หน้าตาดีกินแทนข้าวได้จริงๆ เห็นหน้าท่านแวบเดียวข้าก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ว่ามาเถิด เรื่องอะไร”
มู่หรงชงชินกับคำพูดเจ้าชู้กรุ้มกริ่มของหงจูแล้วจึงเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน “อาเป่าน้องสาวข้าวันนี้ออกมาซื้อยันต์ไม้ท้อ จนป่านนี้ยังไม่กลับ…”
“เหอะๆๆ…” หงจูเริ่มป้องปากหัวเราะ “เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังต้องมาหาข้า? ย่อมจะหนีตามบุรุษไปแล้วน่ะสิ!”
มู่เฉินกล่าว “ไม่มีทาง ปกตินางเพียงแต่ซุกซน แต่ไม่ถึงขั้นนั้นอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น…นางก็ไม่มีคนที่พึงใจ”
“ไม่มีคนที่พึงใจ?” หงจูแค่นเสียงออกจมูก “คุณหนูที่โตปานนี้ยังไม่มีคนในใจ ข้าไม่เชื่อหรอก หรือว่านางจะปักใจในตัวพี่ชายเจ้าเมืองผู้นี้แล้ว?”
มู่หรงชงหน้าแข็งค้างน้อยๆ “แม่นางหงจูอย่าได้ล้อเล่น”
หงจูเปิดสมุดบัญชี นิ้วชี้เคาะลงไปด้านบนเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ตอนแรกพวกเราตกลงกันเรียบร้อยว่าท่านต้องการข่าวจากข้า ข้าคิดราคาท่านเพียงครึ่งเดียว บัดนี้หากต้องการตามหาคน…นำรายได้สามส่วนของบัญชีเล่มนี้มาแลกแล้วกัน”
มู่หรงชงหน้าเปลี่ยนสี ตะลึงงันอยู่กับที่ไปชั่วครู่หนึ่ง
กลับเป็นมู่เฉินชิงพูดว่า “ตกลง!”
มู่หรงชงมองนางปราดหนึ่ง มู่เฉินจึงว่า “การตามหาคนสำคัญกว่า”
“เด็กๆ!” หงจูเห็นจำนวนเงินมหาศาลเข้าบัญชีอีกแล้วจึงยิ้มแฉ่งพลางเรียกลูกน้องมาสั่งว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป จงไปตามหาคุณหนูที่มีนามว่าอาเป่าผู้นั้นจากจวนท่านเจ้าเมือง”
ลูกน้องที่ถูกนางเรียกมาผู้นั้นอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนก้มลงกระซิบไม่กี่คำข้างหูหงจู
หงจูหัวเราะขึ้นมาในทันที “ช่างเถอะ เงินนี้หาได้ง่ายเกินไปแล้ว กลับจะดูเหมือนว่าข้าไม่มีน้ำใจ ท่านเจ้าเมือง ไปเถิด น้องอาเป่าของท่านอยู่ข้างนอกนี้เอง คนหน้าตาดีนี้ช่างมีน้องสาวเยอะเสียจริง ประเดี๋ยวก็น้องอาเฉิน ประเดี๋ยวก็น้องอาเป่า…”