บทที่ 6 อุ่นสุราคืนหิมะตก
มู่หรงชงกับมู่เฉินเดินตามหงจูออกจากห้องเล็กมาถึงในโถง พอจะได้เห็นสภาพโกลาหลอยู่บ้าง
เริ่มจากสตรีในชุดหรูหรานางนั้นรั้งตัวบุรุษตกอับที่พาเด็กมาด้วยผู้นั้นไว้เพื่อถกกันว่าใครมาก่อนหลัง ด้วยคิดจะไปทำการค้าก่อนหน้าฝ่ายบุรุษ
ส่วนด้านบุรุษผู้นั้นก็ต้องการนำบุตรชายของตนเองมาจำนำเพื่อยืมเงิน เด็กชายได้ยินแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาทันที
ถัดจากนั้นก็มีชายฉกรรจ์เพิ่งถลันเข้ามาอีกคน ลากหญิงสาวนางหนึ่งตามหลังมาด้วย ร่ำร้องว่าต้องการใช้นางแลกเงิน สตรีนางนั้นก็คือฝูเป่า
ฝูเป่าเห็นมู่หรงชงกับมู่เฉินก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจอย่างมากทันที “พี่เฟิ่ง รีบช่วยข้าด้วย! เจ้าคนเสียสตินี่ต้องการจะขายข้า!”
สตรีในชุดหรูหรามองฝูเป่าปราดหนึ่งด้วยสายตาพิกล ก่อนจะมองไปยังมู่หรงชงและมู่เฉิน
เด็กชายคนนั้นเองก็ร้องไห้พลางพูด “พี่เฟิ่ง ข้าไม่อยากถูกขาย! ไม่เอาที่นี่!”
ฝูเป่าหันไปมองเด็กชายพลางว่า “เจ้าเรียกอะไรส่งเดช นี่คือพี่เฟิ่งของข้า!”
เด็กชายยิ่งร้องไห้หนัก “ข้าเองก็มี…อื้อ…”
บุรุษผู้นั้นรีบปิดปากเด็กชายไว้ “อากุ้ย หยุดร้องไห้ พ่อได้ยินแล้วรำคาญ”
อากุ้ยหยุดเสียงทันควัน เพียงใช้ดวงตาเล็กถลึงมองฝูเป่า
ฝูเป่าพูดด้วยอารามโมโห “เจ้าถลึงตามองข้าด้วยเหตุใด! ไม่ใช่ข้าที่ต้องการขายเจ้าเสียหน่อย!”
สตรีในชุดหรูหราเห็นที่แห่งนี้โกลาหลไปหมดจึงพูดเสียงดัง “พวกเจ้ายังจะทำการค้ากันอยู่หรือไม่! ไหนว่าเป็นโรงจำนำอันดับต้นๆ ของแคว้นฉิน แม้แต่ทองคำหกสิบชั่งของข้ายังไม่กล้ารับฝาก?!”
โครม! สตรีนางนั้นโยนห่อสิ่งของที่แบกติดตัวไว้ลงพื้น
รอบข้างเงียบลงในทันใด
ทองคำหกสิบชั่ง!
หงจูมองตาค้างไปแล้ว ยิ้มได้เปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหล ก่อนจะกล่าวว่า “ตายจริง เรียนถามแม่นางท่านนี้ ได้ทองคำมากมายปานนี้มาจากที่ใด”
สตรีนางนั้นมีผ้าดำคลุมหน้าอยู่ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่ดวงตาทั้งสองกลับจ้องหงจูไม่ละสายตา “คนทำอาชีพนี้มิใช่ควรรับฝากโดยไม่ถามที่มาของทรัพย์สินเงินทองหรือไร”
หงจูยิ้มเอาใจ “จำนวนเล็กน้อยย่อมจะไม่สอบถาม ทว่าจำนวนมากเท่านี้ ถ้าเกิดท่านปล้นมาจากที่ใด…”
“บ้านข้ามีเงินมาก นี่เป็นสินเจ้าสาว ข้านำออกมาเตรียมจะหนีตามคน มิได้หรือ”
หงจูอึ้งงันไป คิดว่าตนเองฝีปากไม่เป็นรองใครแล้ว ไม่คาดว่าจะมีคนที่ลับฝีปากเก่งปานนี้โผล่มา นางเลิกสนใจที่มาของทรัพย์สินนี้ในทันใด เก็บไว้ที่นี่อย่างไรก็ดีกว่าไปเก็บไว้ที่อื่น ด้วยเหตุนี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ย่อมได้อยู่แล้ว นี่…ข้าถึงบอกอย่างไร คุณหนูจากตระกูลมีเงินน่ะหนีตามบุรุษได้ง่าย…ใช่หรือไม่ คุณชายท่านนี้?”
หงจูพูดพลางมองไปยังมู่หรงชง คนทั้งหลายจึงเลื่อนสายตาตามไปมองเขา
มู่หรงชงกล่าวกับชายฉกรรจ์ผู้นั้นว่า “มิทราบว่าน้องสาวข้าทำสิ่งใดล่วงเกินเจ้า”
“นี่คือน้องสาวเจ้า?” ชายฉกรรจ์พูดด้วยโทสะ “สั่งสอนกันมาอย่างไร! ข้าอุตส่าห์บอกไปแล้วว่าวันนี้ไม่ขายยันต์ไม้ท้อ นางก็ยังจะพุ่งเข้าบ้านข้าให้จงได้! ตีภรรยาข้าไม่พอ ยังจุดไฟเผาบ้านข้าเสียวอดไปครึ่งหลัง!”
มู่หรงชงกล่าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “น้องสาวผู้นี้ของข้าชอบวางเพลิงมาตั้งแต่เยาว์วัย…”
สตรีในชุดหรูหราที่อยู่ด้านข้างหัวเราะพรืด
มู่หรงชงกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าลองคำนวณค่าเสียหายมาดู ข้าจะชดใช้ให้เป็นสองเท่า”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรู้สึกว่าเงินจำนวนเท่านี้คุ้มค่าจึงไม่มัวดันทุรัง รับเงินเสร็จก็กลับบ้านไปฉลองปีใหม่แล้ว
คนของโรงจำนำนำทองคำของสตรีนางนั้นไปวางไว้เรียบร้อยแล้วก็มอบหนังสือสัญญาให้นาง
คนหนุ่มที่เหลืออยู่ผู้นั้นถึงกับไม่พูดว่าจะขายเด็กแล้ว เพียงจูงมือเด็กชายเดินออกไปเงียบๆ
หงจูเรียกเขาไว้ “คุณชายท่านนี้ ท่านไม่ยืมเงินแล้วหรือ”
คนผู้นั้นตอบ “บุตรชายมีเพียงคนเดียว คิดแล้วยังคงตัดใจไม่ลง”
อากุ้ยเช็ดน้ำตาจนแห้ง จับมือบิดาไว้แน่น