คนทั้งคณะเดินมาถึงปากประตูก็ค้นพบว่าที่ด้านนอกถึงกับเริ่มมีหิมะตกหนัก
ก่อนพวกเขาจะเข้าไปท้องฟ้ายังปลอดโปร่งอยู่ เป็นเหตุให้มิได้พกสิ่งกำบังมาด้วย เว้นแต่ชายฉกรรจ์ที่รีบเร่งกลับไปหาภรรยา คนที่เหลือล้วนแต่หยุดฝีเท้า
หงจูเสนอให้ไปนั่งที่หอบุปผชาติสักครู่หนึ่ง รอหิมะหยุดแล้วค่อยออกไป
มีเพียงชายหนุ่มผู้นั้นที่แสดงสีหน้าสองจิตสองใจ แต่เมื่อมองดูอากุ้ยที่หลังมือเย็นจนเป็นสีแดงเถือกแล้วก็ยังคงตอบตกลง
เนื่องด้วยเป็นวันสิ้นปีหอบุปผชาติจึงไม่มีแขกแม้แต่คนเดียวอย่างหาได้ยาก หงจูพาพวกเขาเข้าไปในห้องชงชาก่อนชงชาให้ด้วยตนเอง
เอะอะวุ่นวายกันมาเกือบครึ่งวัน คนทั้งหลายฟังกันออกแล้วว่าต่างมีสำเนียงต่างกัน จึงหมดอารมณ์จะปกปิดหน้าตา สตรีในชุดหรูหรานางนั้นปลดผ้าคลุมศีรษะลงคนแรก โยนไปไว้ด้านข้าง ก่อนกล่าวว่า “ได้พบกันในวันสิ้นปีก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ผู้น้อยหานเหยียน ขอคารวะทุกท่าน พวกท่านเรียกข้าว่าอาจิ่วก็ได้!” นางพูดจบก็ขยิบตาให้มู่หรงชง
มู่หรงชงรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ยามนี้นางบอกชื่อแซ่มาแล้วถึงค่อยระลึกได้ “เฟิ่งจิ่วเทียน?”
หานเหยียนกล่าวยิ้มๆ “ท่านจำฉายาของข้าได้?”
มู่เฉินมองอีกทีก็จำได้แล้วเช่นกัน วันนั้นขณะล่าสัตว์ที่อุทยานซั่งหลินนางแต่งตัวเป็นบุรุษอยู่ข้างหลังเหยาฉาง ซ้ำยังได้ช่วยชีวิตของมู่หรงชงไว้อย่างมีคุณธรรมน้ำใจยิ่งยวด
ฝูเป่าจำคนผู้นี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง มองนางไม่กี่อึดใจแล้วก็ก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำชากับตนเองเงียบๆ
หานเหยียนประสานมือกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องปิดหน้าแล้ว ที่นี่นอกจากพ่อลูกคู่นี้ก็ไม่มีคนนอกแล้ว”
มู่เฉินมองพ่อลูกคู่นั้นเล็กน้อยก่อนปลดผ้าคลุมหน้าลง
มู่หรงชงปลดผ้าคลุมหน้าตามก่อนว่า “วันนั้นขอบคุณมากที่ให้การช่วยเหลือ มิทันได้กล่าวขอบคุณมาโดยตลอด”
จะอย่างไรก็มีคนนอกอยู่ด้วย พวกเขาจึงคุยกันอย่างคลุมเครือ ไม่สะดวกจะระบุชัดแจ้ง
หานเหยียนกล่าว “มิต้องเกรงใจ ข้าเห็นเขาขัดหูขัดตาอยู่แต่เดิมแล้ว” พูดจบก็มองไปยังฝูเป่า
คราวนี้หน้าของฝูเป่าอดไม่ได้ที่จะซีดลงเล็กน้อย
พ่อลูกคู่ที่เหลือนั้นดึงผ้าคลุมหน้าลงในที่สุดท่ามกลางสายตาของคนทั้งหลาย
บุรุษผู้นั้นดูหนุ่มกว่าที่คิดไว้ ท่าทางมีอายุราวยี่สิบต้นๆ แม้จะแต่งกายซอมซ่อ แต่หน้าตาดูสุภาพหมดจด บุคลิกลักษณะไม่สามัญ เด็กคนนั้นก็หน้าตาหล่อเหลาพริ้มเพรายิ่งยวด เครื่องหน้าเด่นชัด มองแวบแรกกลับคล้ายคลึงมู่หรงชงอยู่หลายส่วน
บุรุษผู้นั้นประสานมือกล่าวว่า “ผู้น้อยเยียนเฟิ่ง นามรองว่าจื่อจาง นี่คืออากุ้ยบุตรชายข้า ขอคารวะท่านเจ้าเมือง”
มู่หรงชงผงกศีรษะน้อยๆ “เด็กคนนี้หน้าตาคล้ายชาวเซียนเปยอย่างพวกข้าอยู่บ้าง”
เยียนเฟิ่งจึงว่า “ใต้เท้าสายตาเฉียบแหลม มารดาของเขาเป็นชาวเซียนเปย”
คนทั้งหลายดื่มชาร้อนๆ กันแล้วก็ร่างกายอุ่นขึ้นมาก ยามสนทนาจึงมิได้ระมัดระวังตัวถึงเพียงนั้นอีก หงจูกล่าวยิ้มๆ “ชาวเซียนเปยหน้าตาดี เด็กคนนี้เติบใหญ่แล้วจะต้องเป็นคุณชายรูปงาม!”
เยียนเฟิ่งกล่าวเนิบๆ “ขอบคุณในวาจาอันเป็นมงคล เกิดมาในยุคสมัยบ้านเมืองปั่นป่วน ข้าเพียงหวังให้เขาเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น”
หงจูพูดยิ้มๆ “ช่างจิตใจกว้างขวางนัก”
ระหว่างที่คุยกันมู่หรงหย่งได้วิ่งเหยาะๆ จากด้านนอกเข้ามาพูดกับมู่หรงชง “นายท่าน ใต้เท้าจิ่งมาแล้วขอรับ”
มู่หรงชงถามด้วยความฉงน “ใต้เท้าจิ่งคนใด”
“ก็คนที่…” มู่หรงหย่งมองคนแปลกหน้าที่อยู่ด้วยเล็กน้อย จงใจตอบคลุมเครือ “ใต้เท้าจิ่งที่มาเยี่ยมคุณหนูอาเป่าขอรับ”
มู่หรงชงยังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ฝูเป่าก็ยืนขึ้นถามด้วยความตื่นเต้นดีใจแล้ว “เขาอยู่ที่ใด รีบพาข้าไป!”