มู่เฉินจึงว่า “ข้าเป็นชาวฮั่น ไม่เข้าใจบทเพลงชนเผ่า แต่ท่านร้องที่ฉางอันออกจะไม่ถูกกาลเทศะนัก”
มู่หรงชงกินซาลาเปาลงท้องไปสองลูก อารมณ์ดีขึ้นมากแล้วจึงกล่าวว่า “จู่ๆ ก็รู้สึกสะเทือนใจ นึกว่าเช้าตรู่คงไม่มีใครได้ยิน”
“ใครจะไปรู้ว่ายังอุตส่าห์มีคนตื่นเช้ามาเข้าครัว…จริงหรือไม่” มู่เฉินถามเองตอบเอง “ตื่นเช้าถึงจะมีของอร่อยให้กินสินะ”
คนทั้งสองกินซาลาเปาลูกน้อยหมดจานแล้ว มู่หรงชงยังดูจะไม่หนำใจ ลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็ยังคงถามว่า “เจ้าทำทุกวัน?”
มู่เฉินยิ้ม “อยากจ้างข้าเป็นแม่ครัวให้ท่านใช่หรือไม่”
มู่หรงชงตอบ “มิกล้า ความสามารถของแม่นางมู่ไหนเลยจะมีเพียงงานครัว เฟิ่งหวงมิกล้าใช้คนไม่เหมาะสมกับงาน”
มู่เฉินเห็นเขาพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วก็กล่าวตามตรง “ในใต้หล้าลือเรื่องเขาปี้ลั่วกันเสียลี้ลับเกินไป อันที่จริงข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าข้าต้องทำอะไรในโลกอันวุ่นวายใบนี้ เดิมทีข้าอยากพาน้องสาวกลับไปหนานเหยาอันเป็นบ้านเกิดของมารดา ไม่ต้องการลุยน้ำขุ่นนี้ด้วย แต่เรื่องมาถึงบัดนี้ ข้ารับปากท่านแล้ว ท่านช่วยข้าหาอวิ่นจือให้พบ ข้าก็จะมอบศาสตร์แห่งกษัตริย์ให้ท่าน หลังจากนี้พวกเราสองคนไม่ติดค้างกัน ข้าพาอวิ่นจือกลับหนานเหยา ท่านดำเนินตามปณิธานอันยิ่งใหญ่ของท่านต่อไป”
มู่หรงชงรีบขอบคุณ ถัดจากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกด้วยความข้องใจ “หนานเหยาคือที่ใด ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ทุกคนล้วนบอกว่าไม่เคยได้ยิน” มู่เฉินท้อแท้ใจอยู่บ้าง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แต่โลกนั้นกว้างใหญ่ บางทีอาจจะมีสถานที่ลับตาคนอยู่ ค้นหาให้ทั่วสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างไรก็ต้องหาเจอ”
มู่หรงชงชื่นชมในความใจกว้างไม่อนาทรร้อนใจนี้ของมู่เฉินจึงถามอีกว่า “กำลังทหารของฝูเจียนแข็งแกร่งเกรียงไกร เจียงจั่วก็เป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย เหตุใดเจ้าจึงเลือกขุนนางสิ้นแคว้นอย่างข้า”
“ทุกเรื่องเน้นว่ากันที่วาสนา” มู่เฉินตอบ “บนถนนฉางอัน ท่านกับข้าต่างเคยเอ่ยถึงเรื่องในอดีตที่เสียใจ นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบกันอีก ไหนเลยจะคาดคิดว่ากลับได้พบกันในวังหลวงแคว้นฉิน ข้าเป็นคนเรียนไม่เก่ง ไม่เข้าใจสถานการณ์ใต้หล้า รู้เพียงว่าท่านบ้านแตกสาแหรกขาดคล้ายกันกับข้า บังเอิญว่าท่านมีปณิธานกว้างไกลอีก ข้าจึงยืมดอกไม้ถวายพระ* แล้ว”
มู่หรงชงฟังเงียบๆ คิดในใจว่าเพลงพิณบทนั้นแค่บรรเลงเอาใจฝูเจียน ในใจข้ามีเพียงสกุลมู่หรง ใต้หล้ามาจากที่ใด แต่เพียงเพราะวาจานั้นของมู่เฉิน จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดเกี่ยวกับประชาราษฎร์ในใต้หล้าขึ้นมาเล็กน้อย ในชั่วประกายไฟแลบนี้ก็คลับคล้ายว่าจะเหลือบเห็นศรัทธาอันแข็งแกร่งเบื้องหลังความมุ่งหมายของฝูเจียน
เขาถึงกับกระวนกระวายขึ้นมาชั่วขณะ คิดในใจว่าภายภาคหน้าเกรงว่ามู่เฉินคงจะรู้สึกว่าเลือกคนผิดแล้วกระมัง
มู่หรงชงคิดแล้วก็ถามว่า “แม่นางมู่ ตามความเห็นของเจ้า ก้าวแรกในยามนี้ควรทำสิ่งใด”
มู่เฉินรู้ว่าเขามีเจตนาหยั่งเชิง จึงบอกออกไปอย่างหนักแน่นสองคำ “ปราบจิ้น”
“ปราบจิ้น?”
มู่เฉินย้อนถาม “ท่านคงมิใช่คิดไม่ได้แม้แต่เรื่องนี้กระมัง”
ระหว่างที่มู่หรงชงขบคิดหาคำตอบมู่เฉินก็เก็บจานเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะจากไปได้กล่าวยิ้มๆ “วันหน้ากินด้วยกันก็แล้วกัน ข้าทำคนเดียวกินคนเดียวน่าเบื่อมากจริงๆ”
มู่หรงชงยิ้มพลางตอบว่า “ตกลง”
นับตั้งแต่มู่หรงเหว่ยมาถึงเมืองฉางอันก็อาศัยอยู่ที่เรือนจิ่งผิงมาโดยตลอด ในสายตาคนนอกเขาดูเป็นคนระวังตัวแจ ไม่ถามไถ่เหตุการณ์บ้านเมืองใดๆ ซึ่งอันที่จริงเขาก็ไม่มีความกล้าและความสามารถที่จะทำเรื่องฟื้นฟูต้าเยียนให้เป็นจริงได้จริงๆ จวบจนกระทั่งคืนนี้ จู่ๆ มู่หรงหงก็ถือกระดาษม้วนหนึ่งมายังเรือนจิ่งผิง
“พี่เหว่ย ท่านพอใจจะเป็นซินซิงจวิ้นโหวเพียงเท่านี้หรือ”
มู่หรงเหว่ยตัวสั่นเทา น้ำชาในถ้วยกระฉอกลงพื้น เขามองน้องชายที่โตจนสูงกว่าตนเองแล้วตรงหน้าผู้นี้ อยากจะค้นหาความไร้เดียงสาเฉกเช่นในสมัยก่อนจากใบหน้าอีกฝ่าย แต่กลับหาไม่พบ
มู่หรงผิงที่อยู่ด้านข้างเองก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบปิดประตูหน้าต่าง เตรียมจะสั่งให้คนไปเฝ้าด้านนอกในทันที มู่หรงหงกลับห้ามไว้ แล้วกล่าวกับผู้ติดตามที่ด้านหลัง “อาหย่ง เจ้าไปเฝ้าประตู”
“ขอรับ!”
มู่หรงเหว่ยกล่าว “น้องหง เรื่องฟื้นฟูเยียน ข้าเก็บซ่อนไว้ลึกในใจมาตลอดห้าปี ไม่กล้าลืมแม้แต่วันเดียว แต่…”
“แต่ก็ไม่กล้าทำแม้แต่วันเดียว?” มู่หรงหงพูดต่อจากอีกฝ่าย “วันนี้ข้ายังนัดชงเอ๋อร์มาด้วย ประเดี๋ยวเขาก็มาถึงแล้ว”
มู่หรงเหว่ยพูดด้วยความตกใจ “เจ้าเรียกเฟิ่งหวงมาด้วย?”
มู่หรงหงตอบ “เขามิใช่เด็กแล้ว”