ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 7-8
มู่หรงชงแต่งกายชุดลำลองมุ่งหน้าไปพบกับพวกมู่หรงเหว่ยเพียงลำพังคนเดียว
ครั้นมาถึงเรือนจิ่งผิงกลับถูกคนขวางไว้ “เจ้าเป็นผู้ใด จวิ้นโหวพักผ่อนแล้ว ไม่สะดวกพบแขก”
มู่หรงชงเห็นเป็นคนหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง หน้าตาขาวผ่อง หล่อเหลาพริ้มเพรา อีกทั้งน่าจะเป็นชาวเซียนเปยจึงกล่าวว่า “มู่หรงชงขอพบจวิ้นโหว”
ไม่คาดว่าคนหนุ่มผู้นั้นจะไม่ปล่อยผ่านไปในทันที กลับถามว่า “เป็นจงซานอ๋องมู่หรงชงหรือเจ้าเมืองผิงหยางมู่หรงชง”
มู่หรงชงใจหล่นวูบ ความคิดนานัปการพรั่งพรูขึ้นมาในบัดดล ขณะอยู่ที่แคว้นเยียนเขาเคยได้รับแต่งตั้งเป็นจงซานอ๋อง ในห้าปีหลังแคว้นเยียนถูกทำลายไม่เคยได้ยินคำเรียกขานนี้อีกเลย เคยมีพวกสอดรู้หัวเราะเยาะลับหลังว่าแคว้นเยียนให้เด็กสิบขวบคนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการกลาโหม ไม่แปลกที่แคว้นถูกทำลาย
ห้าปีต่อมาได้ยินคำเรียกขานนี้อีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรักใคร่เอ็นดูจากบิดามารดาในสมัยเยาว์วัยที่แสนเลือนราง ในวังหลวงเมืองเยี่ยเฉิงเขาเองก็เคยถูกคนทั้งหลายประคบประหงมไว้ในฝ่ามือ เอาอกเอาใจจนเป็นท่านอ๋องน้อยผู้หยิ่งยโส
มู่หรงชงฝืนข่มกลั้นความเจ็บแสบที่ปลายจมูก กล่าวเสียงเข้ม “ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในยามนี้ย่อมเป็นจงซานอ๋องมู่หรงชง”
คนหนุ่มผู้นั้นได้ยินเขาตอบเยี่ยงนี้ก็ฉีกยิ้มทันที “ผู้น้อยมู่หรงหย่ง วันหน้าแล้วแต่จะบัญชา!”
มู่หรงชงมิได้สนใจความนัยในวาจาอีกฝ่าย เพียงเดินตรงเข้าไปข้างใน
ภายในห้องมู่หรงผิงและมู่หรงหงเพิ่งจะกางกระดาษ ภาพที่สะท้อนเข้าม่านตาของมู่หรงชงคือแผนที่ผืนหนึ่ง เขาอึ้งงันในทันที
มู่หรงเหว่ยกับมู่หรงผิงมองเขา ในสายตามีแววกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ครั้นมองมู่หรงหงอีกฝ่ายก็วางแผนที่ลง กล่าวกับมู่หรงชงว่า “เจ้ายังมีหน้ามาจริงๆ!”
มู่หรงชงรู้ว่าด่านนี้ผ่านได้ยาก แต่ยามมู่หรงหงพูดคำนี้ออกมาจริงๆ เขาก็ยังคงอดที่จะตาแดงไม่ได้ เขาหยิบมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาวางบนฝ่ามือ “หากพี่หงรู้สึกว่าข้าไม่มีหน้าให้พบผู้ใดได้ ก็ทำเรื่องที่ไม่ทันได้ทำเมื่อห้าปีก่อนเสียเถิด ห้าปีที่ข้ามีชีวิตอยู่มานี้หาได้สุขสบายไม่”
เขาจำได้ว่าห้าปีก่อนขณะเดินออกจากตำหนักชีอู๋มู่หรงหงถูกองครักษ์ขวางไว้ด้านนอก ตะโกนลั่นโดยที่บนหน้าน้ำตาไหลเป็นสายเลือด ‘มู่หรงชง เหตุใดเจ้ายังต้องมีชีวิตอยู่! คนทั้งตระกูลรักเจ้าเอ็นดูเจ้าอย่างที่สุดเพื่อให้เจ้ามาเป็นอนุของฝูเจียนอย่างนั้นหรือ!’ แล้วไหนจะวาจาที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นในกลางดึกทุกครั้งนั่นอีก ‘อยู่ในโลกมนุษย์ไม่รู้จักกัน ลงไปยมโลกอย่าได้พบกันอีก’
นี่คือพี่ชายที่แต่ไหนแต่ไรมาเอ็นดูเขาเป็นที่สุด พี่ชายที่ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องอะไรจะปกป้องเขาไว้ด้านหลังเสมอ
เวลานั้นเขาก็แทบอยากจะคว้าดาบของมู่หรงหงมากรีดลงบนคอ หากทำให้เรื่องมันจบลงก็จะได้หมดเรื่องหมดราวไป แต่ในหูกลับมีเสียงร่ำไห้ของมู่หรงจิ่น ‘เฟิ่งหวง พี่หญิงรู้ว่าเจ้าคับข้องใจ แต่วาจาของเจ้าจะดีจะชั่วฝ่าบาทก็ทรงรับฟัง หากเจ้าตายไปสกุลมู่หรงของเราก็จบลงแล้ว’
เขารู้สึกว่าตนเองได้ตายไปหลายรอบ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงมีชีวิตอยู่ เขานึกว่าน้ำตาเหือดแห้งไปนานแล้ว แต่ผ่านมาห้าปี มองเห็นมู่หรงหงที่ยังไม่คลายโทสะตรงหน้านี้ เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นน้ำตากลับไหลนองหน้าโดยไม่รู้ตัว
“พี่หง…”
มู่หรงหงรับมีดในมือมู่หรงชงมา มู่หรงเหว่ยรีบก้าวมาขวาง “น้องหง เจ้าจะแค้นก็แค้นข้า! ตอนนั้นเป็นข้าอนุญาตกลายๆ ให้น้องชงเข้าวังเอง เขาได้รับความทุกข์มากปานนั้น เจ้าอย่าตำหนิเขาอีกเลย”
มู่หรงผิงกล่าว “เป็นข้าออกความคิดเน่าๆ นั่นเอง! เสียแรงที่ข้าเป็นอาของพวกเจ้า ข้ามันไม่เอาไหนที่สุด!”
มู่หรงหงมองมู่หรงชงเนิ่นนาน แววในดวงตาแปรเปลี่ยนไปนับหมื่นในชั่วอึดใจ ไม่คาดว่าจู่ๆ จะใช้มีดแทงเข้าที่หน้าอกตนเองอย่างแรง เสื้อเปื้อนรอยแดงเป็นวงใหญ่ในทันที
“พี่หง!”
มู่หรงหงคืนมีดให้มู่หรงชงก่อนเอ่ยว่า “ข้าโมโห…โมโหที่บุรุษสกุลมู่หรงเรา น้องชายที่ดีที่สุดของข้าต้องใช้วิธีเยี่ยงนี้มาสร้างโอกาสให้พวกเรา แต่ข้าก็มิอาจไม่ยอมรับอีกว่าหากมิใช่เพราะเจ้าและจิ่นเอ๋อร์ พวกเราไหนเลยจะมีวันนี้ ชงเอ๋อร์ ข้าคืนแผลนี้ให้เจ้า ขอเก็บวาจาเมื่อห้าปีก่อนคืนมา ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าเป็นพี่น้องที่ดีของข้า!”
มู่หรงผิงรีบหาคนมาพันแผลให้มู่หรงหง หลังห้ามเลือดได้แล้วมู่หรงหงถึงได้พูดว่า “ครั้งนี้ข้าเรียกชงเอ๋อร์กลับมาด้วยก็เพื่อหารือเรื่องแผนการฟื้นฟูเยียน” เขาชี้แผนที่พลางว่า “ปัจจุบันฝั่งตะวันออกฝูเจียนทำลายต้าเยียนของเรา ฝั่งตะวันตกผนวกโฉวฉือ ทางใต้ยึดครองเหลียงอี้ นอกจากพื้นที่แถบเจียงจั่วก็เหลือเพียงแคว้นไต้ทางเหนือและแคว้นเหลียงทางตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำศึกสองทิศ ฝูเจียนจะต้องเลือกตีเอาแคว้นไต้และแคว้นเหลียงก่อนแล้วค่อยบุกจิ้น”
มู่หรงชงนึกถึงคำว่า ‘ปราบจิ้น’ ที่มู่เฉินพูด ตรงหน้าพลันสว่างวาบ เข้าใจความหมายของนางแล้ว
มู่หรงเหว่ยกล่าว “เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าฝูเจียนจะบุกจิ้นแน่นอน”
มู่หรงหงตอบ “แม้พวกหวังเหมิ่งจะเกลี้ยกล่อมมาตลอด แต่ขอเพียงฝูเจียนต้องการรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง มีหรือจะปล่อยคนเพียงแค่ห้าล้านที่แถบเจียงจั่วนั่นไป”
“นับแต่โบราณมาใครขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงง่ายบ้าง” มู่หรงชงว่า “ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่หง ถึงแม้ฝูเจียนจะไม่บุกจิ้น ข้าก็คิดวิธีทำให้เขาบุกได้อยู่ดี”
มู่หรงหงซักถาม “วิธีอะไร”
มู่หรงชงตอบ “หนึ่ง…เมื่อปีกลายเหลียงโจวอี้โจวก่อกบฏ จางอวี้กับหยางกวงขอให้เมืองขึ้นต่อจิ้น บอกว่าราชวงศ์จิ้นจึงจะเป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย ฝูเจียนยกทัพไปปราบด้วยความเดือดดาล เขาจะต้องรู้ดีแก่ใจแน่นอนว่าถ้าไม่กำจัดราชวงศ์จิ้น เขาจะไม่มีวันเป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ชอบธรรมได้ตลอดกาล สอง…ไม่กี่ปีมานี้ทุกครั้งที่ฝูเจียนมีเจตนานี้ล้วนถูกหวังเหมิ่งเป็นตัวตั้งตัวตีห้ามปราม เขาเองก็ฟังเพียงคำของหวังเหมิ่ง แต่บัดนี้หวังเหมิ่งป่วยหนัก ดูท่าทางอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว วันข้างหน้าไร้เสียงทัดทาน ฝูเจียนจะต้องทำตามอำเภอใจเป็นแน่แท้ สาม…ฝูเจียนรับสมัครผู้มีความสามารถเป็นวงกว้าง หากมีเทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วในตำนานช่วยถ่ายทอดศาสตร์แห่งกษัตริย์ให้อีก เขาจะต้องคิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตมา เรื่องปราบจิ้นขึ้นอยู่กับเวลาช้าเร็วเท่านั้น”
ฟังมาถึงตรงนี้สามคนที่เหลือก็ล้วนแสดงสีหน้าประหลาดใจ
มู่หรงหงพูดขึ้นว่า “เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่ว? มู่เฉินแห่งเจียงจั่ว? มิใช่บอกว่านางหายตัวไปหรือไร”
มู่หรงชงมิได้พูดมาก เพียงกล่าวยิ้มๆ “นางยินดีช่วยต้าเยียนเรา”
“เช่นนี้ก็ดีมาก!” มู่หรงเหว่ยดีใจเป็นล้นพ้น “ดีมาก!”
มู่หรงหงพูดไปอีกขั้น “ข้าประจำการอยู่ทางเหนือ ในมือมีกำลังทหารอยู่บ้าง ชงเอ๋อร์กลับผิงหยางไปคราวนี้ก็ต้องเริ่มวางแผนเตรียมการ ขอเพียงฝูเจียนเริ่มลงใต้ เผ่าต่างๆ จะต้องวุ่นวายแน่นอน”
มู่หรงเหว่ยกล่าว “แต่ถึงเวลานั้นอำนาจหลายฝ่ายรวมเข้าด้วยกัน พวกเราจะเอาชนะได้อย่างไร”
“พี่เหว่ยลืมไปคนหนึ่ง”
มู่หรงเหว่ยตรงหน้าสว่างวาบ “เจ้าหมายถึง…มู่หรงฉุย?”