บทที่ 8 องค์หญิงชิงเหอ
มู่หรงฉุยเคยเป็นบุคคลทรงความรู้ความสามารถที่ต้าเยียนหาได้ไม่มาก สร้างความดีความชอบในการศึกบ่อยครั้ง แต่กลับไม่ได้ดี ถูกมู่หรงผิงเบียดเบียนจนมาขอพึ่งพาฝูเจียนด้วยความจนใจ
ครั้นกล่าวถึงมู่หรงฉุย มู่หรงผิงก็พลันรู้สึกละอายใจสุดซึ้ง “หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรก…”
“ไม่มีตอนแรก” มู่หรงหงตัดบทเขา “เรื่องมาถึงขั้นนี้ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
ขณะแคว้นเยียนถูกทำลายคนนับไม่ถ้วนเคยเจ็บแค้นมู่หรงผิง บอกว่าเขาเป็นขุนนางกังฉิน ทำให้บ้านเมืองล่มจม มีความผิดสมควรประหาร แต่ห้าปีมานี้จะอย่างไรก็เป็นเขาที่คอยอยู่ข้างกายมู่หรงเหว่ย มีใจสำนึกผิด แต่ก็จนใจที่ไร้กำลังจะกอบกู้คืน
มู่หรงชงเอ่ยถาม “นับตั้งแต่มาถึงฉางอันท่านอาฉุยเขาก็…ไม่ต้อนรับพวกเรามาโดยตลอด”
“ไม่ต้องให้เขาต้อนรับขับสู้” มู่หรงหงตอบ “มู่หรงฉุยมีใจคิดกบฏอยู่นานแล้ว ไม่ว่าต่อฝูเจียนหรือว่าต่อพี่เหว่ย เขาล้วนไม่มีทางจงรักภักดี ในระหว่างที่ใต้หล้าโกลาหล มู่หรงฉุยจะต้องตั้งพรรคพวกของตนเองขึ้นแน่นอน แม้พวกเราจะไม่มีกำลังพลจากเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังแซ่เดียวกัน ในสายตาคนนอกผู้ที่เกรียงไกรก็คือทั้งสกุลมู่หรง”
“ข้าเข้าใจความหมายของพี่หงแล้ว!” มู่หรงชงว่า “ถึงเวลานั้นพวกเราก็ชิงเข้าฉางอันก่อน ขอเพียงช่วยพี่เหว่ยออกไปในช่วงชุลมุนได้ ต้าเยียนก็สามารถกลับมารุ่งเรือง!”
มู่หรงหงพยักหน้า “มิผิด”
มู่หรงเหว่ยฟังถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่ามีความหวังแล้วเช่นกัน “อนาคตของต้าเยียนอยู่ในมือของพวกเจ้าแล้ว!”
“พี่เหว่ยเพียงจำเป็นต้องอยู่ที่ฉางอัน เป็นซินซิงจวิ้นโหวที่ดูเหมือนสงบเสงี่ยมเจียมตัวผู้นี้ต่อไปก็เป็นอันใช้ได้ จำไว้ให้มั่นว่ามิอาจแสดงพิรุธให้ฝูเจียนมองออก”
มู่หรงเหว่ยพยักหน้าหงึกหงัก
มู่หรงหงกล่าวอีกว่า “ชงเอ๋อร์ยังต้องทำอีกเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรหรือ”
“วันนี้ฝูเจียนพิโรธหนัก เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”
มู่หรงชงยังไม่ได้ยินเรื่องนี้จึงถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น”
“ฝูเป่าต้องการแต่งงานกับเจ้า”
“อา!” มู่หรงชงอึ้งงัน เดิมทีเขานึกว่าที่เตือนฝูเป่าไปก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์ ไม่คาดว่านางจะทำอะไรโดยใช้อารมณ์ปานนี้ ไปพูดเรื่องนี้กับฝูเจียนเข้าจริงๆ
“ผู้ที่โมโหไม่ได้มีเพียงฝูเจียน ยังมีฝูฮุยอีกคน” มู่หรงหงพูดพลางยกยิ้มมุมปาก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาโมโหเพราะอะไร”
มู่หรงชงตอบ “เขาเกลียดข้าที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ฝูเป่าเป็นน้องสาวของเขา”
“ถูก และก็มิถูก” มู่หรงหงกล่าว “สายลับที่ข้าวางไว้ในวังหลวงแคว้นฉินค้นพบว่าฝูฮุยไม่ได้มีใจผูกพันกับฝูเป่าเพียงพี่น้องธรรมดา”
มู่หรงชงใคร่ครวญวาจาของอีกฝ่ายแล้วก็แทบจะตกใจจนเหงื่อท่วมตัว “พวกเขา…เป็นไปได้อย่างไร…”
“จุดนี้ฝูเป่ายังไม่รู้ ฝูเจียนยิ่งไม่มีทางรู้เข้าไปใหญ่” มู่หรงหงมองมู่หรงชงพลางว่า “ในเมื่อนางมีใจต่อเจ้า หากสามารถใช้เรื่องนี้ให้ดีได้จะต้องมีประโยชน์อย่างมาก”
มู่หรงชงกำลังคิดว่าควรตอบอย่างไร มู่หรงหย่งที่นอกประตูก็พลันตะลีตะลานวิ่งเข้ามารายงานด้วยความร้อนใจ “ข้าได้ยินข่าว องค์หญิงชิงเหอทรงตกพระโลหิต!”
มู่หรงชงผุดลุกขึ้นทันควัน แต่กลับถูกมู่หรงหงกดไว้ “เจ้าทำอะไร”
“ย่อมจะไปดูพี่หญิง!”
มู่หรงหย่งกล่าวว่า “บัดนี้ไปไม่เหมาะสม ฝ่าบาทประทับอยู่ที่นั่น”
มู่หรงชงนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับมู่หรงจิ่นเมื่อคืนนี้ขึ้นได้ในทันที
‘ข้าได้รับจดหมายจากพี่หง บอกว่าคืนวันพรุ่งนี้จะหารือกับพวกเสด็จพี่และท่านอาผิง ข้ามาด้วยอยากถามพี่หญิงว่าท่านมีวิธีใดรั้งฝ่าบาทไว้ในคืนวันพรุ่งนี้หรือไม่ ข้าเกรงว่าถ้าเกิด…’
‘ไม่มีถ้า…ห้าปีแล้ว บุรุษสกุลมู่หรงเราควรได้หารือกันเสียที พี่หญิงอาจช่วยงานใหญ่อะไรไม่ได้ แต่คืนวันพรุ่งนี้จะรั้งฝ่าบาทให้ประทับอยู่ที่ตำหนักชีอู๋ให้ได้แน่นอน’
ในชั่วขณะนั้นมู่หรงชงเพียงความวิงเวียนตาลาย มือหนึ่งยันโต๊ะไว้ถึงทรงตัวยืนอยู่ได้
พี่หญิงถึงกับใช้วิธีพรรค์นี้มารั้งฝูเจียนไว้?
มู่หรงชงพยายามย้อนนึกถึงสีหน้าท่าทางของมู่หรงจิ่นยามพูดคำเหล่านั้น กลับนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เขาถามเสียงเบา น้ำเสียงเจือสะอื้น “พี่หง เพื่อฟื้นฟูเยียน ไม่ว่าสิ่งใด…ก็เสียสละได้ใช่หรือไม่”
สายตาของมู่หรงหงตกลงบนหน้าเขา เนิ่นนานถึงได้ตอบเรียบๆ “ใช่”
เขามองมู่หรงหย่งปราดหนึ่ง “เจ้าส่งชงเอ๋อร์กลับไป แล้วพักผ่อนให้เต็มที่” ก่อนจะกล่าวกับมู่หรงชงต่อว่า “ชงเอ๋อร์ ข้างกายเจ้ายังขาดคน มู่หรงหย่งทำงานมีไหวพริบ วันหน้าให้เขาติดตามเจ้าแล้วกัน”
มู่หรงชงพยักหน้าโดยที่ยังตะลึงงัน ในใจคิดถึงแต่มู่หรงจิ่นกับ…หลานชายที่ยังไม่เป็นตัวเป็นตนผู้นั้น