กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว มู่หรงชงนอนบนเตียงอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ยังนอนไม่หลับ เขาหลับไม่ลงจนเป็นความเคยชินแล้ว จึงคลุมเสื้อแล้วลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกไป
ภายในลานเรือนเงียบสงัด เขานั่งลงบนระเบียงทางเดิน ตรงกำแพงเมืองที่อยู่ไกลๆ คล้ายว่าได้ยินเสียงขับร้องเพลงของทหารดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าราตรีอันเวิ้งว้าง เสียงขับขานดังเอื่อยไปในราตรีและบนพื้นดินอันเก่าแก่ผืนนี้ พร้อมกับอารมณ์ลึกซึ้งและความวิเวกวังเวงจากท่วงทำนองโบราณ มู่หรงชงเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำมืด คลับคล้ายรู้สึกว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านไปในห้าปีนั้นล้วนกลายเป็นเลือนรางไม่ชัดเจน
เขาสวมชุดดำทั้งตัว ประหนึ่งว่าได้ผสานเข้ากับความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดแล้ว
เสียงหนึ่งพลันดังมาจากทางด้านหลัง “ไยท่านจึงมานั่งอยู่หน้าประตูข้า”
มู่หรงชงตกใจ หันไปเห็นมู่เฉินยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ “ข้า…ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นห้องของเจ้า นึกว่าไม่มีใครอยู่”
มู่เฉินเดินตรงมาก่อนเอ่ยว่า “ถึงไม่มีใครอยู่ ท่านมาร้องไห้อยู่ตรงนี้กลางดึกกลางดื่นก็ถูกท่านทำให้ตกใจตื่นกันหมดนั่นล่ะ!”
มู่หรงชงยกมือขึ้นเช็ด บนหน้ามีคราบน้ำอยู่จริงๆ จึงกล่าวด้วยท่าทางอีหลักอีเหลื่อ “ขออภัยด้วย เสียงดังรบกวนเจ้าแล้ว” เขาไม่ชอบคำอธิบายว่า ‘มาร้องไห้อยู่ตรงนี้กลางดึกกลางดื่น’ นี้เอามากๆ แต่ก็ยังชี้ปัญหาออกมาไม่ได้จึงได้แต่เงียบ
“ดีที่ข้ายังไม่หลับ…” มู่เฉินนั่งลงข้างเขา แล้วพลันนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้จึงขยับไปนั่งไกลขึ้น “ท่านมิใช่มีโรครักสะอาดหรือไร นั่งกับพื้นได้ด้วย?”
มู่หรงชงตอบ “ข้าเพียงแต่ไม่ชอบสัมผัสกับผู้อื่น”
“เพราะอะไร”
มู่หรงชงมองเงาต้นไม้บนพื้น มิได้ตอบคำ
มู่เฉินกระเถิบตัวไปด้านข้าง รู้สึกว่านั่งทับถูกบางอย่างก็กระเถิบตัวออกดู เป็นซวินดินเผาอันหนึ่ง นางหยิบมันมาส่องดูกับแสงจันทร์ เห็นตรงปากเป่ามีฝุ่นก็ใช้แขนเสื้อเช็ด “งานหยาบไปหน่อย คล้ายว่ามีอายุบ้างแล้ว”
มู่หรงชงมองเห็นการกระทำของนางก็กล่าวว่า “ประเพณีของเซียนเปย ให้สลักนามของคนรักลงบนซวินดินเผาในวันแต่งงาน สวรรค์จะปกปักรักษาให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันไปชั่วกาลนาน”
“บัดนี้ประเพณีนี้ยังคงสืบทอดกันอยู่หรือไม่”
“ข้าไม่ได้กลับไปหลายปีมากแล้ว”
มู่เฉินพลิกซวินดินเผาดูก็มองเห็นชื่อสองชื่ออยู่ด้านหลังตามคาด
‘ลวี่เฉิงกุย มู่หรงจิ่น’
มู่หรงชงกล่าวว่า “วันที่วังหลวงแคว้นเยียนถูกข้าศึกยึด ข้าอยู่ในห้องพี่หญิง ก่อนจากมาก็ได้นำมันติดมาด้วย ช่วงนั้นพี่หญิงชอบเป่าซวินนี้เป็นที่สุด นางเป่าได้ไพเราะนัก ข้าคิดว่าวันหน้าจะไม่ได้ยินแล้วก็ให้เสียดายไม่น้อย จึงนำมันติดตัวมาด้วย แต่พี่หญิงมาถึงฉางอันก็ไม่เคยเป่ามันอีกเลย ข้านึกสงสัยมาตลอดว่าคนที่ชื่อลวี่เฉิงกุยผู้นี้คือผู้ใด ตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ แต่เรื่องเหล่านี้…บัดนี้ดูเหมือนจะไม่มีความหมายแล้ว” รอยน้ำตาบนใบหน้ามู่หรงชงยังไม่แห้ง เขามองมู่เฉินพลางเอ่ยถามด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่งยวด “เจ้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดเช่นกันใช่หรือไม่”
มู่เฉินส่ายหน้า “การหลั่งน้ำตาเป็นความเข้มแข็งประเภทหนึ่ง คนผู้หนึ่งหากแม้แต่ความทุกข์ทรมานและน้ำตาของตนเองยังไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ จำเป็นต้องปิดบังอำพราง ยังจะพูดถึงความกล้าหาญอีกได้อย่างไร”
มู่หรงชงกล่าวเสียงเบา “มู่เฉิน ขอบใจเจ้าจริงๆ”
มู่เฉินเพิ่งคิดจะบอกว่า ‘ไม่ต้องเกรงใจ’ ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปากนางก็ถูกแรงขุมหนึ่งดึงไปด้านหน้า ก่อนรู้สึกร้อนบนบ่า ตรงหน้าคือราตรีอันเดียรดาษไปด้วยดวงดาว มีเส้นผมจำนวนหนึ่งบดบังไว้ ทำให้ราตรีนั้นดูเป็นภาพกระจัดกระจาย
ชั่วครู่ต่อมามู่เฉินถึงได้เข้าใจว่ามู่หรงชงกอดนางไว้ ฝังดวงตาลงกับบ่านาง
เมื่อครู่ยังบอกอยู่เลยว่า ‘ไม่ชอบสัมผัสกับผู้อื่น…’
มู่เฉินไม่กล้าขยับตัว ความคิดแรกคือเขาที่เป็นชาวชนเผ่าช่างไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุรุษสตรีเอาเสียเลย ประเดี๋ยวจะฟาดเขาสักฉาดหรือจะตบเขาสักฉาดดี ต่อมานางก็คิดว่าคนผู้นี้น่าสงสารถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นก็ปลอบเขาแล้วกัน แต่พอนางยกมือขึ้นแล้วสุดท้ายก็ยังคงไม่ได้วางมันลงบนหลังของเขา
บนบ่าประเดี๋ยวอุ่นร้อน ประเดี๋ยวเย็นชื้น ประเดี๋ยวอุ่นร้อน ประเดี๋ยวเย็นชื้น…บุรุษผู้นี้ไยจึงร้องไห้เก่งปานนี้หนอ…
มู่เฉินมองท้องฟ้าราตรีอย่างเหม่อลอย ท้องฟ้าราตรีที่ผ่านมาหลายหมื่นปีแต่ราวกับผ่านมาหนึ่งวัน ไม่ว่าผ่านมานานเท่าไรก็ล้วนเหมือนเดิม ทว่ามีเพียงคืนนี้…ในชีวิตหลังจากนี้ของมู่เฉิน ในความทรงจำนับครั้งไม่ถ้วนของนางท้องฟ้าราตรีในคืนนี้แตกต่างไปอย่างมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.