บทที่ 9 โรคกลัวพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน
เช้าวันต่อมามู่หรงชงเดินมาถึงห้องอาหารก็ได้กลิ่นหอมสายหนึ่ง
เขาเห็นมู่เฉินกำลังนั่งดื่มโจ๊กอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่เล็กๆ “เมื่อคืน…ขออภัยด้วยจริงๆ”
มู่เฉินเงยหน้ามอง “ยามนี้ท่านรู้จักขออภัยแล้ว?”
นางเห็นมู่หรงชงหน้าแดงเรื่อก็มิได้พูดสิ่งใดต่ออีก เพียงแต่ดันโจ๊กร้อนๆ ชามหนึ่งไปให้ “เรื่องผ่านไปแล้ว มิต้องคิดมาก”
มู่หรงชงนั่งลงตรงข้ามนาง “เมื่อคืนข้าไปพบพี่เหว่ยกับพี่หงมา หารือกันว่า…จะต่อกรกับฝูเจียนเยี่ยงไร”
มู่เฉินกล่าว “พวกท่านคิดอะไรได้”
“ดั่งที่เจ้าบอก โน้มน้าวให้เขาปราบจิ้น” มู่หรงชงตอบ “แคว้นฉินมีเผ่าต่างๆ รวมตัวกัน เมื่อใดที่ฝูเจียนยกพลลงใต้ แนวหลังจะต้องวุ่นวายแน่นอน”
มู่เฉินดื่มโจ๊กไปหนึ่งอึกก่อนเอ่ยว่า “สำหรับฉินอ๋องในปัจจุบัน การปราบจิ้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ทว่าเวลายิ่งเร็วก็ยิ่งเป็นผลดีต่อท่าน แต่…ใครจะโน้มน้าวเขาได้เล่า”
มู่หรงชงตอบ “ข้ายินดีจะลองดู”
“ท่าน?” มู่เฉินถาม “มั่นใจสักกี่ส่วน”
“สามส่วน”
“เช่นนั้นยังอยากจะลอง? ไม่กลัวฝูเจียนจะพาลโกรธท่านหรือ…”
มู่หรงชงเมินประเด็นนี้ไป เปลี่ยนมาพูดว่า “ข้าจะโน้มน้าวให้เขาไปล่าสัตว์ที่อุทยานซั่งหลินดูก่อน เจ้าช่วยข้าวางหลุมพรางที จะต้องทำให้เขารู้สึกว่าการปราบจิ้นถือเป็นประสงค์ของสวรรค์เช่นกัน เพื่อแสดงความจริงใจ ในวันนั้นข้าจะมอบของขวัญเล็กน้อยให้ชุดหนึ่ง”
“ของขวัญ?”
“ถึงเวลาก็รู้เอง”
มู่หรงชงบอกเล่าเรื่องที่หารือกับมู่หรงหงเป็นการลับเมื่อคืนนี้ให้มู่เฉินฟังอย่างหมดเปลือก นางไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ท่านอายุยังน้อย กลับคิดอะไรได้มากมายเหลือเกิน”
อายุยังน้อย?
มู่หรงชงกระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร”
พอเขาถามคำถามนี้ออกมาแล้วก็รู้สึกว่าการถามอายุของสตรีชาวฮั่นโดยไม่ไตร่ตรองเยี่ยงนี้ช่างดูไม่เหมาะสมอย่างยิ่งยวด
ทว่ามู่เฉินตอบตามตรงโดยไม่มีท่าทีลังเล “สิบหก”
มู่หรงชงได้ใจอยู่เล็กๆ “ข้าสิบเจ็ด”
ขณะที่พูดมู่หรงหย่งก็พลันวิ่งเข้ามาบอกว่ามีข่าวจากในวัง เนื่องจากมู่หรงจิ่นตกเลือดฝูเจียนจึงพิโรธหนัก มีคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้จนถึงที่สุด
มู่หรงชงลุกขึ้นยืนพลางกล่าวกับมู่เฉิน “ข้าจะเข้าวังไปดูหน่อย”
มู่หรงชงรีบรุดเข้าวัง แล้วให้ชุนหยาพาตรงเข้าตำหนักชีอู๋ในทันทีโดยไม่คำนึงถึงข้อต้องห้าม
มู่หรงจิ่นกำลังนอนอยู่บนเตียง เห็นมู่หรงชงเข้ามาใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แต่เดิมก็ยิ่งซีดลงหลายส่วน
มู่หรงชงคุกเข่าทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท เฟิ่งหวงเป็นห่วงพี่สาว เข้ามาโดยไม่ทันได้กราบทูลรายงาน ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงจิ่นมีสีหน้าเป็นกังวล แต่หัวคิ้วที่เดิมทีขมวดอยู่ของฝูเจียนกลับคลายออกน้อยๆ “ลุกขึ้นเถอะ พวกเจ้าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก พี่น้องผูกพันกันลึกซึ้ง เราจะไม่รู้ได้อย่างไร” เขาว่าพลางก้มตัวลงใช้มือหนึ่งจับแขนของมู่หรงชงไว้แล้วดึงตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง
รู้สึกถึงผิวร้อนลวกจากฝ่ามือนั้นมู่หรงชงก็ก้มหน้าลง ในใจให้รังเกียจ สีหน้าแปลกไป แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาเป็นปกติ หลบเลี่ยงมือข้างนั้นโดยไม่กระโตกกระตากก่อนเอ่ยว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ”
ฝูเจียนถอนหายใจ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดคุยดีๆ กับเรามานานแล้ว”
ซ่งหยาขันทีประจำตัวฝูเจียนมองเค้าลางออกในทันทีจึงส่งสัญญาณมือไล่บ่าวไพร่ทั้งหมดออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงสองพี่น้องและฝูเจียน มู่หรงชงได้ยินเสียงปิดประตู ในใจก็มีเสียงดัง ‘กึก’ ตามไปด้วย
ฝูเจียนนั่งลงบนหัวเตียงของมู่หรงจิ่น ตบเตียงแล้วว่า “เฟิ่งหวงเอ๋อร์มานั่งตรงนี้”
บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งในทันใด
มู่หรงชงลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็เดินเชื่องช้าไปยังเตียง
ขณะเข้าใกล้ฝูเจียนมากแล้วเขาก็พลันคุกเข่าลง “กระหม่อมมิกล้าล่วงเกินฝ่าบาท การนั่งเทียมกับฝ่าบาทถือเป็นการกระทำผิดจารีต”
“จารีต?” ฝูเจียนหัวเราะ “อยู่กับชาวฮั่นนานไปแล้วจริงๆ”
มู่หรงชงกล่าว “กระหม่อมชื่นชมในขนบธรรมเนียมของชาวฮั่นตามฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เรารู้ บทเพลงเมฆมงคลก็บรรเลงได้เข้าท่าเข้าทีแล้ว” ฝูเจียนพูดพลางวางมือข้างหนึ่งลงบนมือมู่หรงจิ่น อีกข้างยื่นมาหามู่หรงชง