ฉางหรงพุ่งไปที่กระโจมของสตรีนางนั้นอย่างว่องไว ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ ภายในกระโจมว่างเปล่าไร้ผู้คน นางหายตัวไปไม่เหลือร่องรอยนานแล้ว
ลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าเย็นชาฉายชัด เขาเดินอ้อมข้างฉางหรง สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในกระโจมขององครักษ์แซ่ถานและแซ่หวัง เขาเหลียวมองจนทั่วบริเวณรอบหนึ่งก่อนจะสั่งกำชับเว่ยปอว่า “ไปเอาคบเพลิงมา!”
เมื่อคบเพลิงหลายอันถูกนำเข้ามา ชั่วอึดใจกระโจมที่มืดทึบก็ส่องสว่างดุจกลางวัน ลิ่นเซี่ยวมองประเมินสภาพภายในกระโจมอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เขาเหมือนจะพบอะไรบางอย่าง จึงเลิกชายชุดขึ้นทรุดตัวลงนั่งยองๆ พินิจพิจารณาอย่างละเอียด
ตอนนี้ฉางหรงก็เดินเข้ามาแล้ว พอขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “นี่มันรอยเลือด! รอยเลือดสายนี้ลากยาวคดเคี้ยวไปจนถึงนอกกระโจม ค่อยหายไปที่ทางเข้าหมู่กระโจมของเรา”
ไม่คิดว่าระมัดระวังรอบคอบอย่างที่สุดแล้ว สุดท้ายก็ยังปล่อยให้ปีศาจชิงลงมือได้ ลิ่นเซี่ยวสะกดกลั้นโทสะแล้วลุกขึ้น กดเสียงลงต่ำบอกกับฉางหรงประโยคหนึ่ง ไม่รอให้ฉางหรงแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างไร้เหตุผลก็ก้าวยาวเดินนำพวกเว่ยปอออกไปจากกระโจม
รอยเลือดประเดี๋ยวชัดเจนประเดี๋ยวเลือนราง พาพวกลิ่นเซี่ยวมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากอีกฝั่งของลำธาร
ตรงปากทางเข้ามีกิ่งต้นตู้เจวียน* ภูเขาที่แห้งเหี่ยวไปนานแล้ววางปิดบังเอาไว้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีรอยเลือดนำทางมา พวกลิ่นเซี่ยวคงหาพบได้ยากแน่นอน
เวลานี้กิ่งไม้แห้งโดนฟันจนขาดกระเด็นพ้นทาง เผยให้เห็นทางเข้าที่มีความสูงเท่าตัวคน ภายในถ้ำมีกลิ่นคาวตลบอบอวล
พวกเว่ยปอหัวใจเต้นรัวดั่งตีกลอง มองเห็นภาพตรงหน้านี้แล้วเป็นไปได้ว่าปีศาจตนนั้นยังอยู่ในถ้ำ อีกทั้งมีความร้ายกาจไม่ธรรมดาแน่ ถ้าหากผลีผลามบุกเข้าถ้ำไป พวกเขาหลายคนไม่เท่าไรหรอก แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับคุณชาย…
เว่ยปอพยายามขัดขวางลิ่นเซี่ยวด้วยความร้อนใจ “คุณชายอย่าเพิ่งเข้าไปเลย รอให้พวกข้าเข้าไปสำรวจในถ้ำสักรอบหนึ่งก่อนเถอะ…”
ไม่คาดคิดว่าลิ่นเซี่ยวจะโบกมือขัดจังหวะคำพูดของเว่ยปอ เขาถือกระบี่เอาไว้ในมือแล้วเดินนำเข้าไปในถ้ำก่อนใคร
ภายในถ้ำมืดสลัวและเงียบสงัด กว้างขวางกว่าที่พวกลิ่นเซี่ยวคิดเอาไว้มาก
เพิ่งจะเดินเข้าไป กลิ่นคาวเข้มข้นยิ่งกว่าตอนอยู่นอกถ้ำหลายเท่าก็กรูเข้ามาปะทะกับประสาทการรับรู้ของพวกลิ่นเซี่ยวอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาหลายคนอยากจะอาเจียน
น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือเดินเข้ามาก็เห็นตรงจุดเลี้ยวโค้งมีโครงกระดูกของมนุษย์และสัตว์กองรวมกันเป็นภูเขาลูกย่อมๆ โครงกระดูกสีขาวซ้อนทับกันชวนขวัญผวาอย่างยิ่ง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้วเหมือนจะมีเศษซากโครงกระดูกของเด็กน้อยปะปนอยู่ด้วย
ตลอดเส้นทางเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในมากขึ้น ก็จะมองเห็นว่าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีแท่นหินใหญ่กว้างประมาณหนึ่งจั้ง ทั้งสี่มุมของแท่นหินถูกขัดเป็นมันเงาวาววับ เห็นได้ชัดว่ามักจะมีคนมาเอนนอนหรือนั่งสมาธิอยู่เป็นประจำ
บนแท่นหินมีร่างของคนสองคนนอนนิ่งไม่ไหวติง ดูเหมือนจะบาดเจ็บสาหัส ข้างกายยังพอมองเห็นว่ามีรอยเลือดลากยาวจากแรงกระชากลากถู
เด็กสาวชุดแดงที่หายตัวไปก่อนหน้านี้นั่งยองอยู่ข้างกายสองคนนั้น มือขวาของนางกุมกระดิ่งสีทองตรงสร้อยคอเอาไว้แน่น กำลังก้มหน้าลงสำรวจอะไรบางอย่าง
“ถานฉี! พี่รองหวัง!”
พอมองเห็นสภาพของทั้งสองคนชัดเจนแล้วพวกเว่ยปอก็ขอบตาแดงก่ำ พุ่งเข้าไปหาทั้งสองคนด้วยความร้อนใจ
ดวงตาของคนแซ่ถานและแซ่หวังยังปิดสนิท ใบหน้าเป็นสีดำคล้ำ ทรวงอกยังสะท้อนขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง แต่ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบจับไม่ได้
พอเห็นว่าพวกพ้องที่ยังนั่งดื่มสุราด้วยกันตอนพลบค่ำ ชั่วพริบตากลับต้องมามีสภาพเช่นนี้ เว่ยปอก็มีเลือดลมพลุ่งพล่านในอก เขาแผดเสียงคำรามออกมาคำหนึ่ง ดาบในมือเสือกแทงไปที่เด็กสาวอย่างฉับพลัน “ข้าจะฆ่านางปีศาจอย่างเจ้าเสีย!”
ไม่คาดคิดว่าข้างกายจะมีกระบี่เล่มหนึ่งยื่นออกมาว่องไวปานสายฟ้าแลบ ปะทะกับดาบของเขาเสียงดังเคร้งแล้วปัดออกไป
“คุณชาย?!” เว่ยปอทั้งตกใจทั้งโมโห “เพราะอะไรท่านถึงไม่ให้ข้าฆ่านางปีศาจตนนี้”
“ไม่ใช่นาง!” ลิ่นเซี่ยวตอบอย่างสั้นกระชับแต่ครอบคลุม จากนั้นจึงเก็บกระบี่เข้าฝัก ก้าวเข้าไปใกล้เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของคนแซ่ถานและคนแซ่หวัง
เด็กสาวเหลือบมองเว่ยปออย่างเย็นชา น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยว่า “โง่เง่า!” ก่อนจะคลำหาของบางอย่างจากข้างเอวครู่หนึ่ง ล้วงหยิบขวดน้ำเต้าหยกใบเล็กออกมา
นางเปิดฝาขวดท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างตกตะลึงของพวกเว่ยปอ แล้วเทยาลูกกลอนสีแดงเข้มออกมาสองเม็ด
“รีบเอาให้พวกเขากินเร็ว ช้ากว่านี้อีกก้าวเดียว พิษจากปีศาจจะกัดกร่อนชีพจรหัวใจ เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้แล้ว” นางนำยาเม็ดส่งให้ลิ่นเซี่ยวที่อยู่ข้างกายแล้วลุกขึ้นทันที ก่อนจะหันไปถามเว่ยปอที่เพิ่งจะเข้าใจเรื่องราว “แล้วนักพรตนั่นล่ะ”
เว่ยปอยังไม่ทันตอบคำถาม ก็ได้ยินลิ่นเซี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถูกพวกฉางหรงคุมตัวไว้แล้ว คิดว่าตอนนี้คงจะอยู่นอกถ้ำ”