ปีศาจงูยักษ์บำเพ็ญตบะมานานปีจนสามารถเหาะเหินและดำดินได้แล้ว ความเร็วในการเลื้อยในยามปกติไม่มีทางเชื่องช้าปานนี้แน่ แต่ว่าบนร่างของมันมีมังกรไฟสามตัวจากคาถาของเด็กสาวนั่นรัดไว้ แผดเผาจนผิวหนังของมันไหม้เกรียมเป็นแผลฉกรรจ์ เจ็บปวดทรมานเหลือเกิน ทั้งลิ่นเซี่ยวยังแทงบาดเจ็บหลายแผล แม้ว่าจะไม่กระทบถึงอวัยวะภายใน แต่เลือดสีแดงสดยังไหลออกมาไม่หยุด สูญเสียพละกำลังไปมากกว่าครึ่งนานแล้ว
ถ้าหากวันนี้ขนาดมนุษย์ตัวเล็กๆ ไม่กี่คนยังกล้ามาขัดขวาง มันก็ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย! มันทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห อ้าปากกว้างหมายจะเขมือบพวกฉางหรงลงท้องในคราวเดียว
ฉางหรงเห็นศีรษะงูยักษ์ที่ใหญ่เหมือนตะกร้าสานใบโตขยับมาอยู่ตรงหน้าพร้อมลมหายใจเหม็นคาวอบอวลจนเขาแทบจะอาเจียนออกมานี้แล้ว เขาก็คำรามเสียงดังก้อง วางท่ากวัดแกว่งดาบส่งเดช ในใจร้องคร่ำครวญว่า ‘ชีวิตข้าจบสิ้นแล้ว!’
บางทีอาจเป็นเพราะใกล้ตายแล้วกระมัง เพียงชั่วพริบตาในความคิดของฉางหรงก็มีความทรงจำผุดขึ้นมาให้วุ่นวายไปหมด
เขาคิดถึงเรือนหลีไป๋ในวังหลันอ๋อง สถานที่แห่งนั้นเป็นเรือนที่พักของพระชายาผู้จากไป เมื่อครั้งพระชายายังมีชีวิตอยู่ชื่นชอบดอกสาลี่เป็นที่สุด ฉะนั้นลานเรือนหลีไป๋ในทุกฤดูใบไม้ผลิจะมีดอกสาลี่บานสะพรั่ง กิ่งก้านที่ประดับด้วยดอกตูมจะยื่นออกไปนอกกำแพงเรือน มองจากที่ไกลๆ ราวหิมะห้ากลีบผลิบาน ช่างงดงามเกินคำบรรยาย
ในความทรงจำนั้นฉางหรงแอบปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพงเรือนหลีไป๋ ลอบสอดส่ายสายตาสำรวจเข้าไปในลานเรือน
กลางลานกว้างลิ่นเซี่ยวรูปร่างเล็กกระจ้อย นั่งหลังเหยียดตรงอยู่หลังโต๊ะหนังสือที่ตรงระเบียง เขากำลังคัดลายมือเขียนการบ้านไปทีละเส้นทีละขีด
กลีบดอกสาลี่สีขาวเจอสายลมยามโพล้เพล้ของฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไสว ร่วงหล่นลงบนไหล่ของคุณชายน้อย ทำให้หัวไหล่ของเขาเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ
ภายในห้องดูเหมือนกำลังเคี่ยวยาอยู่ กลิ่นหอมของดอกสาลี่ในลานหน้าเรือนจึงมีกลิ่นหอมของยาปะปน ท่ามกลางกลิ่นหอมเจือจางมีกลิ่นขมปร่าแฝงมาด้วย
เสียงไอของพระชายาลอยมาเข้าหูของฉางหรงอยู่ตลอด
‘แค่กๆ…ต้าหลาง คัดต่ออีกหน่อยก็ไปพักเถอะ การบ้านไม่ต้องรีบทำให้เสร็จเดี๋ยวนี้ก็ได้ เอาไว้ถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็ไปเรียกท่านลุงอู๋ให้พาเจ้ากับฉางหรงไปเล่นเตะลูกหนัง’ น้ำเสียงของพระชายาฟังดูก็รู้ว่าสุขภาพค่อนข้างอ่อนแอ
คุณชายน้อยรีบวางพู่กันลงบนโต๊ะ วิ่งตรงไปที่ข้างประตูแล้วเอ่ยว่า ‘ท่านแม่ ข้าไม่ไปเล่นเตะลูกหนัง ข้าอยากจะอยู่กับท่าน’
พระชายาหัวเราะออกมา น้ำเสียงของนางช่างมีความสุขและปลาบปลื้มใจ ‘เด็กโง่ ไม่พูดกับเจ้าแล้ว แม่ไม่สบาย กลัวว่าจะเอาโรคไปติดเจ้าน่ะสิ’
ฝูเหนียงที่อยู่ข้างกายพระชายาก็เดินมาขวางคุณชายน้อยที่ข้างประตู เอ่ยยิ้มๆ ว่า ‘คุณชายน้อยของพวกเราฉลาดรู้ความที่สุดแล้ว รู้จักกตัญญูต่อพระชายา คุณชายน้อยโปรดวางใจ ช่วงนี้พระชายาพักรักษาอาการป่วย ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นคุณชายน้อยก็เข้ามาหาพระชายาได้แล้วเจ้าค่ะ’
ลิ่นเซี่ยวเอียงศีรษะคิดทบทวน เอ่ยถามฝูเหนียงว่า ‘ถ้าอย่างนั้น…ท่านแม่หายป่วยแล้ว ก็จะมีน้องชายน้องสาวให้ข้าเร็วๆ ได้แล้วใช่หรือไม่’
ฝูเหนียงยิ่งแย้มยิ้มจนตาหยีมากขึ้นไปอีก นางยื่นมือออกไปจัดคอเสื้อชุดผ้าไหมสีดำปักลายกิเลนให้ลิ่นเซี่ยว ‘แน่นอนเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นในวังของเราจะไม่ได้มีแค่ต้าหลาง จะมีเอ้อร์หลาง ซานหลาง ซื่อหลาง และอู่หลาง…เป็นน้องชายที่พระชายามีให้คุณชายอย่างไรเล่า วังของเราจะต้องครึกครื้นมากแน่’
ลิ่นเซี่ยวได้รับคำตอบที่พอใจ ร้องอุทานด้วยความยินดีแล้วหมุนตัววิ่งเสียงดังออกไปข้างนอก
ฉางหรงรีบกระโดดลงมาจากกำแพงในลานเรือน เฝ้ารอลิ่นเซี่ยวด้วยความอดทน
ลิ่นเซี่ยวหาเขาพบที่หน้าประตูนั่นเอง ‘ไปเร็ว…ไปเตะลูกหนังกัน!’
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานฉางหรงไม่ยอมแพ้ เตะชนะเขาไปตั้งหลายลูก ลิ่นเซี่ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงส่อเจตนาเอาคืนว่า ‘อีกไม่นานข้าก็จะมีน้องชายแล้ว ถึงตอนนั้นข้าคงไม่สนใจจะเล่นกับเจ้าอีก’