ลิ่นเซี่ยวกระโดดพรวดลุกขึ้นมา เสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น กระบี่เสียบทะลุตำแหน่งเจ็ดชุ่นของงูยักษ์อย่างแม่นยำที่สุด
งูยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องแปลกประหลาดบาดหู ร่างกายใหญ่มหึมาบิดงอคล้ายเป็นตะคริว ทำให้ทั้งถ้ำส่งเสียงดังสะเทือนปานแผ่นดินไหว
เด็กสาวเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเช่นนี้ก็รีบท่องคาถาวาดยันต์ มังกรไฟทั้งสามราวกับมีประสาทสัมผัสดั่งมนุษย์ พุ่งเข้าไปในรอยแผลฉีกขาดตรงตำแหน่งเจ็ดชุ่นของงูยักษ์ตามลำดับ ทันใดนั้นก็แผดเผางูยักษ์จนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
“กลับคืน!”
เมื่อเสียงนุ่มนวลของเด็กสาวตะโกนขึ้นคำหนึ่ง มังกรทั้งสามได้ยินเสียงเรียกขานก็กลายร่างเป็นลูกไฟสามลูก ลอยกลับเข้ากระดิ่งทองคำในมือของเด็กสาว
ทุกคนต่างถอนหายใจโล่งอก
พวกฉางหรงยังปรับลมหายใจไม่ทัน มองดูเถ้ากระดูกงูยักษ์ด้วยสีหน้าเหม่อลอย การต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่จะใช้คำว่า ‘โอกาสรอดเพียงหนึ่งจากสิบส่วน’ ก็ไม่เกินไปเลย ไม่รู้ว่าตกลงปีศาจตัวนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่ถึงได้มีพลังมากถึงเพียงนี้ ถ้าหากไม่ได้ของวิเศษจากนักพรตหญิงกับกระบี่ของคุณชายร่วมกันรับมือ เกรงว่าทุกคนในที่นี้จะต้องโดนมันกลืนลงท้องหมดแล้ว
ลิ่นเซี่ยวปรับลมหายใจที่ปั่นป่วนให้เป็นปกติ ลุกขึ้นเดินไปตรวจดูสภาพของคนแซ่ถานและคนแซ่หวัง
พอเห็นรอยดำคล้ำบนใบหน้าของพวกเขาทั้งสองจางหายไปหมดสิ้น ลมหายใจก็สงบมั่นคงกว่าเดิมมาก
เขาหันกลับไปมองเด็กสาว กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
เด็กสาวแย้มยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ดูสิ้นไร้เรี่ยวแรง “จะว่าไปแล้วข้าก็ต้องขอบคุณท่านด้วย ถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือจากกระบี่ในมือท่าน ด้วยพลังตบะของข้ามีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของปีศาจงูตนนั้นได้”
นางกล่าวขึ้นแล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลุกเดินมาหยุดตรงหน้าเถ้ากระดูกของงูยักษ์ เอามือปิดจมูกเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ไม่นานก็เห็นว่าในมือของนางมีลูกกลอนปราณสีเขียวอมเทาเม็ดหนึ่ง
ลิ่นเซี่ยวเข้าใจกระจ่างโดยพลัน คิดว่านั่นจะต้องเป็นลูกกลอนปราณของปีศาจงูแน่
เด็กสาวนำผ้าไหมห่อลูกกลอนปราณเอาไว้อย่างดีแล้วเก็บลงถุงเงินข้างเอว ก่อนจะลุกขึ้นหันมากล่าวกับพวกลิ่นเซี่ยวว่า “ปีศาจงูตนนี้ก็คือสิ่งชั่วร้ายที่ออกอาละวาดมานานสามปี มาวันนี้สิ่งชั่วร้ายถูกกำจัดสิ้นซาก ทุกท่านสามารถลงจากเขาอย่างสบายใจได้แล้ว”
นางยังชี้ไปทางคนแซ่ถานกับคนแซ่หวังที่ยังไม่ได้สติ “ในร่างของพวกเขายังมีพิษหลงเหลือ ต้องพักรักษาตัวประมาณครึ่งเดือนจึงจะฟื้นฟูเป็นปกติ แต่ว่าโชคดีที่ช่วยชีวิตทันเวลา ยังไม่บาดเจ็บกระทบถึงจุดสำคัญ ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนัก”
ลิ่นเซี่ยวเห็นว่านางน่าจะอายุไม่เกินสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น แต่จัดการเรื่องราวได้อย่างละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและสติปัญญา ช่างแตกต่างจากสตรีตระกูลขุนนางที่เคยพบเห็นทั่วไปก็อดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ ทว่าขณะจะเอ่ยถามชื่อของนาง ฉางหรงก็กระโดดเข้ามาขัดจังหวะ
“ท่าน…แม่นางนักพรต ข้ามีตาแต่ไม่รู้จักภูเขาไท่ซาน ก่อนหน้านี้พูดจาล่วงเกินท่านไปมากมาย หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
ในใจของเขากลับกล่าวว่าดูจากท่าทางของคุณชายแล้ว คงมีความรู้สึกดีให้นักพรตหญิงคนนี้มากพอดู ถ้าหากผ่านไปนานวันเข้าเกิดมีความสัมพันธ์อะไรขึ้นมา จะยอมรับนักพรตหญิงคนนี้ได้ด้วยหรือ อย่าว่าแต่ท่านอ๋องจะไม่เห็นด้วยเลย แม้กระทั่งท่านผู้นั้นในวังหลวงก็ไม่มีทางพยักหน้าตกลงเด็ดขาด ถือโอกาสยับยั้งความคิดของคุณชายเอาไว้แต่เนิ่นๆ ดีกว่า เลี่ยงไม่ให้วันหน้าต้องมาเสียใจอีก
ดังนั้นเขาจึงเน้นย้ำคำว่า ‘แม่นางนักพรต’ หนักแน่นเป็นพิเศษ
ลิ่นเซี่ยวลอบขมวดคิ้ว
เด็กสาวกลับหัวเราะออกมา แม้ว่านางเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่จะคาดเดาความคิดที่แท้จริงในใจของฉางหรงเวลานี้ได้อย่างไร พอเห็นว่าฉางหรงเอ่ยปากขออภัยด้วยความจริงใจ นางก็เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เก็บมาใส่ใจ”
ฉางหรงมองนางอย่างประหลาดใจ นึกถึงท่าทางน่าสงสัยของนางตอนแรกพบหน้าขึ้นมาจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “จะว่าไปแล้วคืนนั้นเหตุใดแม่นางนักพรตถึงไปสระผมอยู่ริมลำธาร เวลาค่ำมืดดึกดื่น อีกทั้งภูเขาลูกนี้ก็อันตราย ตอนนั้นพวกข้าตกใจมากทีเดียว เกือบมองว่าท่านเป็นปีศาจร้ายไปแล้ว”
เด็กสาวเลิกคิ้วเรียวงามขึ้น อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าเร่งเดินทางรอนแรมมาจากฉางอันเพื่อจับปีศาจ ไม่ได้อาบน้ำให้ชื่นใจมาหลายวัน พอเห็นน้ำในลำธารกลางหุบเขาแลดูใสกระจ่างก็อดใจไม่อยู่ชั่วขณะ เลยสยายผมสระเสียหน่อย”
พวกฉางหรงได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็หัวเราะท้องแข็งแล้ว
นี่น่ะหรือ นี่หรือคือเหตุผลที่ว่านั้น นักพรตหญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
เมื่อได้ฟังเหตุผลนี้แล้วแม้แต่ลิ่นเซี่ยวที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ทางสีหน้าก็อดใจไม่ไหว มุมปากยกโค้งเผยรอยยิ้มเช่นกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป