ลิ่นเซี่ยวหันกลับไปมองหมู่บ้าน สภาพบ้านเรือนท่ามกลางแสงยามพลบค่ำ ราวกับมีพลังชีวิตดำมืดผุดขึ้นมาและเผชิญหน้ากับเขาอย่างเงียบงัน หลังลายฉลุหน้าต่างซอมซ่อมีเงาเลือนรางวูบไหวไปมา เรียกได้ว่าจะพุ่งทะลุหน้าต่างออกมาในชั่วอึดใจอยู่แล้ว
ความรู้สึกชวนให้คนหวาดผวาสิ้นหวังผุดขึ้นมาอีกครั้ง ลิ่นเซี่ยวพยายามทำใจให้สงบอย่างเต็มกำลัง และพยายามเบนสายตาไปยังทิศทางอื่น
ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดาที่พากันหลีกห่างจากภูเขาลูกนี้ไปสามเซ่อ แม้กระทั่งขุนนางท้องถิ่นยังสั่งตัดขาดสะพานเชื่อมโยงระหว่างภูเขาลูกนี้กับโลกภายนอก มีเจตนาปล่อยให้ที่นี่กลายเป็นภูเขาปิดตาย
“คุณชาย!” ชายหนุ่มชื่อฉางหรงส่งเสียงเรียกขัดจังหวะความคิด ตามด้วยเสียงนักพรตใบหน้าเปื้อนฝุ่นมอมแมมผู้หนึ่งกลิ้งหล่นจากหลังม้ามาหยุดอยู่แทบเท้าเขา
นักพรตผู้นี้ถูกองครักษ์คนหนึ่งด้านหลังฉางหรงควบคุมตัวไว้บนหลังม้า ชุดนักพรตที่สวมใส่สกปรกยิ่งนัก กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวไปกับแสงยามพลบค่ำ เมื่อครู่เพราะจิตใจของลิ่นเซี่ยวไม่สงบนิ่ง จึงไม่ทันสังเกตไปชั่วขณะว่าในที่นี้มีคนเป็นๆ เพิ่มขึ้นมาอีกคน
“ตอนที่พวกเราลงเขาไปสำรวจเส้นทางก็เห็นนักพรตผู้นี้ตามหลังพวกเรามาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ พอถามว่าเพราะอะไรถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ เขากลับพูดจาอึกอัก ข้าสงสัยว่าเขาจะมีเจตนาคิดไม่ซื่อเลยจับกุมตัวมาด้วย”
เหมือนที่ฉางหรงเป็นมาโดยตลอดจริงๆ…
ลิ่นเซี่ยวนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เพียงขมวดคิ้วมองนักพรตตรงหน้า อีกฝ่ายอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี หัวคิ้วเป็นรอยย่นชัดเจน มีเคราแพะใต้คาง เมื่อเทียบกับชุดนักพรตที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ใบหน้ากลับขาวสะอาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดไปพลางถลึงตามองพวกลิ่นเซี่ยวอย่างดุดันไปพลาง ก่อนจะเปิดปากด่าทอ
“คนหนุ่มอย่างพวกเจ้านี่ หน้าตาหล่อเหลาสง่างามดี ทว่าการกระทำกลับหยาบคายไร้มารยาท!”
ยามเขาเอ่ยวาจาสำเนียงแปลกแปร่งเล็กน้อย ราวกับว่าอยากจะเน้นย้ำทุกคำให้ชัดเจน เนื่องจากตั้งใจมากเกินไปจึงทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ
ลิ่นเซี่ยวจ้องมองนักพรตด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
นักพรตไม่เอ่ยตอบ ยังคงพร่ำบ่นด้วยความโกรธเคือง ฉางหรงที่อยู่ข้างเขาเริ่มแสดงสีหน้ารำคาญ ก่อนจะชักดาบข้างเอวออกมาจนเกิดเสียงชิ้งดังขึ้น
นักพรตสะดุ้งตกใจจนวิญญาณหลุดลอยหายไปครึ่งหนึ่ง เอามือกุมลำคอแล้วกลิ้งหลุนๆ หนีไปเสียไกลลิบ คล้ายว่าถ้าหากกลิ้งหนีช้ากว่านี้สักนิด ดาบของฉางหรงคงทำให้ศีรษะของเขาต้องย้ายบ้านแล้ว
“มีอะไรค่อยพูดค่อยจา! คุณชายท่านนี้ มีอะไรค่อยพูดค่อยจาสิ!”
ฉางหรงกวัดแกว่งดาบเป็นแนวโค้งกลางอากาศอย่างงดงาม คมดาบชี้ไปทางนักพรตที่อยู่ห่างออกไปพลางกล่าวอย่างมีโทสะ
“ค่อยพูดค่อยจารึ พวกเราติดอยู่บนภูเขาบ้าๆ ลูกนี้มาหนึ่งวันเต็มแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนเป็นเลย ขนาดพวกนกหรือสัตว์สี่เท้ายังไม่โผล่มาให้เห็นสักตัว นักพรตอย่างเจ้าอยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดออกมา ทั้งยังทำท่าทางน่าสงสัยเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ กับดักบนเขากว่าครึ่งจะต้องเป็นฝีมือเจ้าเล่นสกปรกแน่! ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ร่ายอาคมพรางตามาทำร้ายผู้คนอีก!”
นักพรตโมโหเดือดดาลขึ้น “คนหนุ่มอย่างเจ้าช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
พอเขาเห็นว่าฉางหรงถือดาบสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาหาอย่างดุร้าย ก็ตะเกียกตะกายหลบหนีไปพลางร้องตะโกนโวยวายไปพลาง “ถ้าเจ้าฆ่าข้าก็จะออกจากเขาลูกนี้ไม่ได้จริงๆ นะ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาลูกนี้มีความเป็นมาอย่างไร”