เมื่อลิ่นเซี่ยวได้ยินคำพูดนี้ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันไปส่งสายตาให้ฉางหรงหยุดมือ แค่ข่มขวัญนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่านักพรตผู้นี้จะมีเบื้องหลังเช่นไร แต่สามารถมาปรากฏตัวบนเขาที่ไร้เงาผู้คนโดยสิ้นเชิง สำหรับพวกเขาที่ติดอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ถือว่านำความหวังที่จะรอดชีวิตมาให้อยู่ดี
นักพรตเห็นฉางหรงเก็บดาบเข้าฝัก หัวใจที่ลอยคว้างกลางอากาศก็กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมของมัน เขาซับเหงื่อตรงขมับ ขณะกำลังจะเอ่ยปากพลันเงยหน้าขึ้นมามองเห็นดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อย รัศมีแสงใกล้ลับเลือนหาย สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปทันที
“ไม่ได้การแล้ว! ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ทุกท่านรีบตามข้าลงจากเขาโดยเร็ว ถ้าหากก่อนฟ้ามืดยังไม่ลงเขา ก็จะออกไปไม่ได้จริงๆ แล้ว”
จิตใจลิ่นเซี่ยวตึงเครียดขึ้นมาทันที นักพรตมีความคิดสอดคล้องกับเขาโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านร้างจะเกิดเรื่องราวใดขึ้น แต่สามารถทำให้ขุนนางท้องถิ่นถอยห่างสามเซ่อได้จนทุกวันนี้ เป็นไปได้ว่าตัวการที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญยังอยู่บนเขา
เขารู้ว่าจะมัวรอชักช้าอยู่ไม่ได้ จึงก้าวยาวเดินตรงไปที่ม้าพลางเอ่ย “ฉางหรง พานักพรตไปคอยนำทางข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือตามหลังไปติดๆ ใครก็ห้ามแตกแถวเป็นอันขาด!”
เมื่อทุกคนน้อมรับคำสั่ง ฉางหรงก็จับร่างนักพรตโยนขึ้นหลังม้าไปเหมือนตอนขามา และเป็นฝ่ายออกตัวนำหน้าเพื่อเปิดเส้นทาง
ก่อนจะพบนักพรตผู้นี้ พวกเขาเดินผ่านเส้นทางลงเขาวนกลับไปมาเจ็ดแปดรอบแล้ว ทุกครั้งที่ใกล้ถึงตีนเขาก็จะมีทางแยกปรากฏขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทำให้พวกเขาต้องวกกลับมาที่ไหล่เขาอีกครั้ง
ฉางหรงที่ยังจดจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้เอ่ยล้อเล่นขึ้นมา
“คงไม่ใช่เจอผีบังตาเข้าหรอกนะ” แล้วก็เอ่ยต่อว่าเมื่อครั้งยังเด็กมารดาเคยเล่าให้ฟังว่าในสถานที่เปลี่ยวร้างวังเวงเช่นนี้มักจะเกิดเรื่องน่าพิศวงได้ง่ายดายนัก เส้นทางที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้ที่เร่งเดินทางต้องสับสนจนสติกระเจิดกระเจิง
ในกลุ่มองครักษ์หนุ่มมีคนผู้หนึ่งชื่อเว่ยปอ พอได้ยินเช่นนี้เขาก็ขานรับอย่างเห็นด้วย ทั้งยังกล่าวอีกว่าถ้าหากเจอผีบังตาจริงก็ยังมีวิธีรับมืออยู่
สิ่งที่พวกผีบังตากลัวที่สุดมีสองอย่าง หนึ่งคือวาจาสกปรกหยาบคาย ยิ่งด่าทอดุร้ายเท่าใด อาคมนี้ก็สลายไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ส่วนอย่างที่สองคือปัสสาวะของชายหนุ่มพรหมจรรย์
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างพร้อมใจกันหัวเราะครืน
ฉางหรงหัวเราะเสียงดังก้องที่สุด เอามือข้างหนึ่งยื่นไปตบไหล่เว่ยปอแล้วตะโกนขึ้น “ในหมู่พวกเราอย่างอื่นอาจไม่มี แต่ปัสสาวะชายหนุ่มพรหมจรรย์มีเกินพอ! แม้แต่คุณชายข้าก็กล้ารับรองว่าเขายังเป็นชายหนุ่มพรหมจรรย์อยู่แน่”
ลิ่นเซี่ยวไม่คาดคิดว่าแม้กระทั่งเขาฉางหรงก็กล้านำมาล้อเล่น จึงทำสีหน้านิ่งขรึมก่อนจะว่ากล่าวไปเสียหลายประโยค
เรื่องผีสางเทวดาอะไรกันเขาไม่เชื่อทั้งนั้น ได้แต่สั่งพวกฉางหรงให้นำลูกธนูที่พกติดตัวเสียบไว้ข้างทางเพื่อเป็นเครื่องหมายไปตลอดแนว และถือโอกาสที่ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิทนำทุกคนเดินทางลงเขาอีกครั้ง
ใครจะรู้ว่าคราวนี้แม้จะไม่ได้เดินวนเวียนอยู่ในเส้นทางเดิม แต่กลับโผล่มาที่หมู่บ้านร้างนั่นโดยไร้เหตุผล
ลูกธนูที่พวกเขาใช้ทำเครื่องหมายไว้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด เพราะพวกมันกลับเปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างน่าประหลาด!
“พอเดินเลี้ยวข้างหน้าไปจะเจอลำธารสายหนึ่ง ถ้าเกิดทุกอย่างราบรื่น เดินต่อไปข้างหน้าอีกประมาณครึ่งชั่วยามก็จะออกจากภูเขาได้แล้ว”
ยามนั้นเองข้างหน้าพลันมีเสียงของนักพรตลอยมา ขัดจังหวะการระลึกความทรงจำของลิ่นเซี่ยว
เขาได้ยินก็เงยหน้าขึ้นและตั้งใจฟัง คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงน้ำไหลรินจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจริงๆ หุบเขาซึ่งเดิมทีมีบรรยากาศชวนพิศวงน่าสะพรึงกลัว พอมีเสียงน้ำไหลเช่นนี้ดังขึ้นแล้ว เหมือนกับสระน้ำนิ่งมีปลาไนแสนร่าเริงหลายตัวแหวกว่ายเข้ามา ทำให้สระน้ำมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
พวกฉางหรงทั้งประหลาดใจทั้งยินดี “เพราะอะไรก่อนหน้านี้ถึงไม่เห็นลำธารสายนี้เล่า”
พวกเจ้าเห็นเข้าสิถึงจะแปลก