นักพรตคิดในใจพลางแค่นเสียงขึ้นจมูก “ตอนนี้แค่ได้ยินเสียง ยังไม่เห็นของจริง ต้องเดินอ้อมหินก้อนใหญ่ไปถึงจะมองเห็นลำธารต่างหาก” สีหน้าของเขาปรากฏความลำพองใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าเกิดวันนี้พวกท่านไม่ได้พบข้า เกรงว่าเดินอีกสามวันสามคืนก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้เลย สามปีที่ผ่านมามีคนมากมายที่ขึ้นเขาแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่นี่เป็นภูเขาอาถรรพ์เลื่องชื่อประจำท้องถิ่น ภายหลังมีคนประสบเคราะห์ร้ายมากขึ้นก็ไม่มีใครกล้าขึ้นเขามาอีก วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารีบร้อนมาเก็บสมุนไพรที่ขึ้นเฉพาะที่นี่ แล้วอาศัยว่าพอมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง คงไม่กล้าบุ่มบ่ามขึ้นเขามาหรอก”
“พูดเช่นนี้ข้ายิ่งอยากรู้แล้วสิ” ฉางหรงหันกลับมามองนักพรต “ฟังจากที่เล่ามา ภูเขาลูกนี้เพิ่งเกิดเรื่องประหลาดเมื่อสามปีก่อนกระมัง”
นักพรตพยักหน้า “แม้ข้าจะออกบวชเป็นนักพรตที่นี่ แต่กลับไม่ใช่คนท้องถิ่นโดยกำเนิด ข่าวลือเกี่ยวกับภูเขาลูกนี้ก็ได้ยินมาจากสหายร่วมอารามและชาวบ้านแถบนี้พูดถึงน่ะ”
ขณะที่เขาพูดก็เงยหน้าเหลียวมองโดยรอบ “ภูเขาลูกนี้ชื่อเขาหมั่งซาน เดิมทีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว บนเขามีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อหมู่บ้านเหรินจี่…หรือก็คือหมู่บ้านร้างที่พวกท่านเห็นวันนี้นั่นล่ะ ชาวบ้านในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นพรานล่าสัตว์ที่เกิดและเติบโตที่นี่ พวกเขาแต่ละรุ่นอาศัยอยู่บนภูเขา ล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ แม้จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและขัดสน แต่ก็นับว่าอยู่กันอย่างสงบสุขดี เมื่อไม่กี่ปีก่อนชาวบ้านเริ่มนำผลไม้ป่าและสัตว์ป่าที่หามาได้ไปขายที่ตลาดในเมือง ขายไปขายมา พวกชาวบ้านก็เริ่มมีฐานะดีขึ้น”
ทุกคนคิดถึงหมู่บ้านร้างที่มีกลิ่นอายความตายปกคลุมอย่างที่เห็นมา ใครจะคาดคิดว่าในอดีตเคยคึกคักรุ่งเรืองมาก่อน ต่อมาเกิดเรื่องร้ายแรงเพียงใดกัน ถึงทำให้หมู่บ้านนี้ต้องรกร้างว่างเปล่า
ดูเหมือนนักพรตจะล่วงรู้สิ่งที่ทุกคนกำลังคิดอยู่ จึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ชาวบ้านแถบนี้ไม่ยอมแย้มพรายเรื่องราวในตอนนั้นออกมาเลยสักคำเดียว ข้าก็ต้องเสียเวลาไปมากโขกว่าจะล้วงความลับมาได้นิดหน่อย ได้ยินว่าเมื่อสามปีก่อนมีชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจี่ไปร้องเรียนยังที่ว่าการอำเภอ บอกว่าในหมู่บ้านเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ช่วงเวลาอันสั้นเพียงเจ็ดวันพวกสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้หายไปสามสิบกว่าตัว อีกทั้งตอนกลางคืนได้ยินเสียงสตรีร่ำไห้ ชาวบ้านจิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข ขอร้องให้ทางการส่งเจ้าหน้าที่ไปจับคนร้าย ใครจะรู้ว่าท่านใต้เท้าแห่งจวนนายอำเภอพอได้ยินว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างสัตว์เลี้ยงหายไปก็ไม่แยแส พูดจาบอกปัดแบบขอไปทีสองสามประโยคก็ไล่ชาวบ้านที่มาร้องเรียนกลับไป”
เรื่องเล่านี้กระทบจิตใจของฉางหรงอย่างยิ่ง เขาสบถด่าด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ขุนนางเลอะเลือน!”
นักพรตไม่แสดงท่าทีใดกับคำสบถของฉางหรง เขาเอ่ยเล่าต่อไป
“ต่อมาไม่กี่วันหมู่บ้านเหรินจี่ก็เกิดเรื่องจริงๆ ชาวบ้านในหมู่บ้านทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ร้อยกว่าคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนเดียว แม้แต่ศพก็หาไม่พบ…”
นักพรตยังเล่าเรื่องไม่ทันจบก็ราวกับว่ามีดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนตอบรับคำพูดของเขา ป่าเขาซึ่งเดิมทีเงียบสงัด จู่ๆ ก็มีเสียงราวกับเสียงร้องสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ เสียงร่ำไห้นี้เหมือนกำลังระบายความทุกข์โศก น่าหวาดผวาสั่นสะท้านถึงจิตวิญญาณ
พวกเขาต่างสะดุ้งตกใจกันถ้วนหน้า
ลิ่นเซี่ยวสีหน้าเครียดเขม็ง ชักกระบี่ข้างเอวออกจากฝักอย่างฉับไว ฉางหรงและคนอื่นๆ กรูกันเข้ามาตรงหน้าม้า โอบล้อมซ้ายขวาคุ้มครองลิ่นเซี่ยวไว้ตรงกลาง
มีคนหนึ่งมองไปรอบกายด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “นี่…นี่มันเสียงอะไร น่ากลัวถึงเพียงนี้”
“เสียงร้อยวิญญาณครวญยามค่ำคืน” นักพรตหน้าเปลี่ยนสี รีบกระโดดพรวดลงจากหลังม้า เลิกชายชุดนักพรตของตนแล้วสาวเท้าวิ่งเร็วรี่ วิ่งไปตะโกนบอกไปว่า “ไม่รีบไปอีกจะไม่ทันการแล้ว! อ้อมหินก้อนใหญ่ตรงหน้านี้ไป พวกเราก็จะเจอทางลงจากเขา! เร็วเข้า! ฉวยโอกาสที่วิญญาณร้ายพวกนั้นยังไม่ออกมา พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่!”
“ไป!” ลิ่นเซี่ยวควบม้าติดตามไปโดยไม่ลังเล
หลังจากอ้อมผ่านหินก้อนสูงใหญ่เท่าตัวคน เส้นทางบนเขาที่ก่อนหน้านี้คับแคบกลับสว่างโล่งขึ้นทันตา ลำธารใสกระจ่างสายหนึ่งปรากฏแก่สายตาทุกคน