เด็กสาวเงยหน้ามองประเมินพวกลิ่นเซี่ยวโดยไม่ส่งเสียงตอบ หุบเขาบรรยากาศเงียบสงัดเหลือประมาณ ทุกคนไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ กลัวว่าประเดี๋ยวเด็กสาวจะสละร่างมนุษย์กลายเป็นปีศาจหรือวิญญาณร้าย
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เด็กสาวก็หัวเราะราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร นางค้อมกายลงไปอีกครั้ง สระเส้นผมยาวสลวยในลำธาร
“เจ้า…” ความรู้สึกส่วนลึกในตัวฉางหรงอย่าง ‘เห็นผีฆ่าผี เห็นเทพฆ่าเทพ’ พลุ่งพล่านขึ้นมา พอจะก้าวไปข้างหน้าก็โดนนักพรตนั่นพุ่งออกมาขวางไว้
น้ำเสียงของนักพรตที่สั่นสะท้านไม่มั่นคงเท่าไรนักเอ่ยขึ้นว่า “อย่า…อย่าไปยั่วโทสะนาง พวกท่านไม่สังเกตหรือ ทันทีที่นางปรากฏกาย ลมภูเขากลับสงบ แม้แต่ร้อยวิญญาณก็หยุดคร่ำครวญ มากกว่า…ครึ่งเป็นไปได้ว่านางคือเจ้าแห่งวิญญาณร้าย ถ้าตอนนี้ขืนไปยั่วโทสะนาง กลัวว่าพวกเราจะตายไม่เร็วพอหรือ”
อย่างไรเสียพวกลิ่นเซี่ยวก็เคยเข้าสนามรบมาก่อน แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ยามกองทัพเคลื่อนพลก็เคยพักค้างแรมตามภูเขาร้างสุสานโบราณ ภาพคนศีรษะขาดแขนขาดก็เคยเห็นมาไม่ใช่น้อย
แม้ว่าภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจะน่าตกตะลึง แต่หลังจากความตื่นตระหนกในตอนแรกผ่านพ้นไปแล้ว จิตวิญญาณของความเป็นนักรบก็ทำให้พวกเขาสงบเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าแห่งวิญญาณร้าย?” ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว เด็กสาวคนนี้ปรากฏกายบนภูเขาอาถรรพ์เพียงลำพัง อีกทั้งไม่สะทกสะท้านกับความน่ากลัวท่ามกลางความมืดสลัวยามค่ำคืน ไม่มีทางใช่สตรีอ่อนแอโดยทั่วไปเด็ดขาด แต่ถ้าหากจะกล่าวว่านางเป็นเจ้าแห่งวิญญาณร้าย…ลิ่นเซี่ยวก็หวนคิดถึงหมู่บ้านร้างไร้ผู้คนที่พบเมื่อช่วงกลางวัน ไม่ถูกต้อง บนร่างของนางไม่มีกลิ่นอายของความอาดูรสิ้นหวังซึ่งอัดแน่นอยู่ทุกหนทุกแห่งในหมู่บ้านเลยสักนิด
“จะสนใจไปทำไมว่านางจะใช่เจ้าแห่งวิญญาณหรือปีศาจ” ลิ่นเซี่ยวเหลียวมองรอบกายระยะหนึ่ง พอสังเกตเห็นว่าสตรีนางนี้ดูเหมือนไม่มีเจตนาจะขัดขวางพวกเขา จึงตัดสินใจอย่างสุขุมเยือกเย็น กดเสียงลงต่ำกล่าวกับพวกฉางหรงว่า “ชักช้ากว่านี้อาจมีเหตุไม่คาดคิด พวกเราต้องรีบลงเขาให้เร็วที่สุดถึงจะถูก ท่านนักพรต ท่านบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าผ่านลำธารสายนี้ไปก็จะถึงตีนเขาแล้ว อย่าได้รอช้าอีกเลย รีบไปเดี๋ยวนี้เถิด”
ระหว่างที่เอ่ยวาจา ลิ่นเซี่ยวสัมผัสของบางสิ่งตรงหน้าอกของตนโดยไม่ตั้งใจ โชคดีที่ของสิ่งนี้ยังอยู่ การเดินทางครั้งนี้ ของที่คุ้มกันเพื่อนำส่งปลายทางล้ำค่ามากเกินไป ลิ่นเซี่ยวไม่ยอมให้เกิดเรื่องแทรกซ้อนขึ้นมาอีกแน่
“ใช่ๆๆ” นักพรตจ้องมองสตรีริมลำธารด้วยความตื่นตระหนกไปพลางพยักหน้ารับติดๆ กันไปพลาง “ข้างหน้านี่ล่ะ เดินไปไม่ถึงครึ่งหลี่ ขอเพียงผ่านลำธารนี้ไปได้โดยราบรื่นก็จะลงจากเขาได้แล้ว”
ขณะที่นักพรตอธิบาย ดวงตาก็มีประกายความหวังลุกโชนขึ้นมา อยากกระโดดโลดเต้นก้าวไปข้างหน้า แต่ว่าก็ยังคงหวาดกลัวสตรีนางนั้น ไม่กล้าย่างก้าวออกไปโดยง่าย
ฉางหรงทนมองท่าทีถอยหนีอย่างหวาดกลัวไม่ได้ จึงก้มลงช้อนร่างนักพรตขึ้นมา โยนกลับไปบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วสะบัดสายบังเหียนมุ่งหน้าเปิดทางไปก่อนเช่นเดิม
พวกลิ่นเซี่ยวตามหลังไปติดๆ
ขณะที่ผ่านสตรีนางนั้น ลิ่นเซี่ยวอดชะลอความเร็วลงไม่ได้ เขาก้มหน้ามองไปที่นางอย่างระแวดระวัง
มองเห็นว่านางรวบเส้นผมยาวสลวยขึ้นมาจากลำธาร วางพาดไปทางหัวไหล่ข้างหนึ่ง แล้วใช้นิ้วมือเรียวยาวค่อยๆ สางเส้นผม เส้นผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวผ่องดังหิมะของนาง เดิมทีสมควรเป็นทิวทัศน์น่าชื่นตาชื่นใจ แต่ชั่วขณะนี้กลับทำให้คนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของลิ่นเซี่ยว สตรีนางนั้นก็เหลือบตามองตาม ทันใดนั้นเองนางก็เผยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา