สตรีนางนี้รูปโฉมงดงามหาใดเปรียบ ยามที่นางไม่ยิ้มราวกับดอกเหมยแดงเคลือบน้ำค้างแข็ง จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่กลับเย็นชาห่างเหิน ไม่มีชีวิตชีวาเท่าใด แต่รอยยิ้มนี้ของนางราวกับฤดูใบไม้ผลิหวนคืนผืนแผ่นดิน น้ำค้างแข็งละลายกลายเป็นน้ำค้างยามเช้า กิ่งเหมยแดงนับไม่ถ้วนต่างประชันชูช่ออวดเกสร ความงดงามนิ่มนวลเป็นที่ประจักษ์
ลิ่นเซี่ยวปรับสภาพจิตใจให้มั่นคง ถอนสายตากลับมาอย่างเฉยชา กระชากสายบังเหียนควบม้าผ่านลำธารไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม นักพรตก็ร้อนรนจนหน้าผากมีเหงื่อไหลซึมขึ้นมาอีกครา
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งที่ทางออกอยู่ด้านหลังก้อนหินชัดๆ เมื่อวันก่อนข้ายังลงเขาจากเส้นทางนี้อยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงหาไม่เจอแล้วล่ะ”
ฉางหรงโยนแส้ม้าทิ้งไปอย่างจนปัญญา ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิดๆ ก็แค่ค้างแรมบนเขารกร้างนี่สักคืน วันพรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีลงเขาต่อก็สิ้นเรื่อง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเรามีคนมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งแต่ละคนก็มีฝีมือไม่ธรรมดา ใครหน้าไหนจะกล้าทำอะไรพวกเราได้”
พอเขานึกอะไรได้บางอย่างก็กระโดดพรวดลุกขึ้น ล้วงห่อผ้าในอกเสื้อ หยิบอาหารแห้งและถุงน้ำออกมา ยื่นไปตรงหน้าลิ่นเซี่ยว
“คุณชายไม่ได้กินอะไรมาครึ่งค่อนวันแล้ว อยู่บนเขารกร้างกันดาร กินอะไรง่ายๆ รองท้องก่อนสักคำสองคำ เอาไว้วันพรุ่งนี้พวกเรากลับถึงฉางอันค่อยหาทางชดเชย”
จะได้กลับฉางอันอย่างราบรื่นหรือ
ลิ่นเซี่ยวรับถุงน้ำมาดื่มอึกหนึ่ง ในใจกลับไม่ได้มองทุกอย่างในแง่ดีเลยแม้แต่น้อย เขาย้อนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในสมองมีความคิดแปลกประหลาดผุดขึ้นมาแล้วหายไปไม่หยุดหย่อน เขาอยากจะจับคว้าความคิดนั้นไว้เหลือเกิน แต่กลับเหมือนน้ำที่ไหลรินตามรอยแยกของนิ้วมือ จะคว้าอย่างไรก็คว้าไม่ได้
ตกลงมีอะไรผิดปกติกันแน่
เขาเงยหน้ามองสตรีนางนั้นที่อยู่ตรงลำธารฝั่งตรงข้าม แต่กลับต้องตกตะลึงที่พบว่านางมานั่งอยู่บนก้อนหินยักษ์ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ในมือของนางหมุนกิ่งไม้เล่น มองตรงมาทางนี้ด้วยแววตาแน่วแน่พอดี
ลิ่นเซี่ยวรู้สึกสะดุดใจโดยพลัน ลอบสังเกตผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่แสดงความรู้สึกใด โชคดียังอยู่ครบทั้งแปดคน ไม่เกินและไม่ขาดไปสักคนเดียว ไม่ว่าค่ำคืนนี้สถานการณ์จะเป็นเช่นไร ขอเพียงพวกเขาทั้งเก้าคนรวมกันเป็นหนึ่ง จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปได้
ลิ่นเซี่ยวตัดสินใจวางแผนเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับไปบอกกับพวกฉางหรง
“ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว เส้นทางก็ไม่ชัดเจน พวกเราอย่าฝืนหาทางลงเขาต่อไปดีกว่า เอาอย่างนี้เถอะ ข้าเห็นว่าทุกคนเหนื่อยล้าเต็มที บริเวณนี้นับว่ากว้างขวาง พวกเราอาศัยกางกระโจมค้างแรมสักคืนดีกว่า วันพรุ่งนี้ค่อยปรึกษาหารือกันต่อ”
นักพรตผู้นั้นเห็นว่าพวกลิ่นเซี่ยวล้มเลิกความคิดจะลงเขาก็ร้อนใจดั่งไฟรน “ได้อย่างไรกัน! คุณชายทุกท่านจะค้างแรมบนเขาลูกนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าข้าพูดจาเหลวไหลส่งเดช บนเขาลูกนี้มีวิญญาณร้ายจริงแท้แน่นอน พลังของมันร้ายกาจยิ่งนัก ถ้าเกิดคืนนี้พวกเรายังอยู่บนภูเขา กลัวว่าคงจะไม่มีคนรอดสักคนแล้ว!”
“ถ้าอย่างนั้นท่านนักพรตหาวิธีลงเขาได้หรือไม่เล่า” ฉางหรงเอ่ยขัดอย่างรำคาญ “พวกเรายังอยากกลับฉางอันไปกินอาหารดีๆ สักมื้ออยู่นะ ใครจะอยากค้างแรมบนเขาร้างทุรกันดารกัน แต่พวกเราจะเดินวนเวียนบนหุบเขาทั้งคืนเหมือนแมลงวันไร้หัวไม่ได้กระมัง ข้าแนะนำให้ท่านนักพรตเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ดีกว่า”
“แค่กๆ” นักพรตเกิดอาการสำลักขึ้นมา
พวกฉางหรงไม่สนใจไยดีเขาอีก ต่างแยกย้ายกันไปตั้งกระโจมของตนเอง
ลิ่นเซี่ยวมีคำสั่งลงมาว่าเพื่อป้องกันความเปลี่ยนแปลงใดที่อาจเกิดขึ้นยามค่ำคืน และเพื่อให้มีคนดูแลซึ่งกันและกัน พวกเขาจะแบ่งเป็นสองคนต่อหนึ่งกลุ่ม ลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงอยู่กระโจมเดียวกัน ส่วนนักพรตนั่นจะแยกไปอยู่กับเว่ยปอ
สตรีบนก้อนหินยักษ์เฝ้ามองพวกลิ่นเซี่ยวยุ่งวุ่นวายโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่ว่าสุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีน่าสงสัยอะไร
เมื่อจัดแจงตั้งกระโจมเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งตรงลานว่างล้อมรอบกองไฟ ทำร่างกายให้อบอุ่นไปด้วยกัน