เด็กสาวไม่ใส่ใจความเป็นปรปักษ์จากน้ำเสียงของฉางหรงสักนิด แต่จับจ้องไปที่ขวดสุราในมือพวกเว่ยปอ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สุรากลิ่นหอมนัก! ลมหนาวในหุบเขาราวกับคมดาบกรีดผิว ข้าหนาวจะแย่อยู่แล้ว ใต้เท้าทุกท่านคงไม่ถือสาที่ข้ามาขอดื่มสุราสักคำกระมัง”
น้ำเสียงของนางช่างผ่อนคลายและเป็นกันเองยิ่งนัก
ลิ่นเซี่ยวมองเด็กสาวอย่างเงียบงัน อากัปกิริยาสุภาพมีมารยาท รูปโฉมงดงามอย่างปฏิเสธไม่ได้ แล้วยังเผยสีหน้าไร้เดียงสาไม่มีพิษภัยออกมาอีก นางเข้าใจวิชาการคลายเกราะป้องกันจิตใจคนอย่างเห็นได้ชัด…
ถ้าหากพวกฉางหรงมีไหวพริบปฏิภาณแย่กว่านี้สักหน่อย เกรงว่าคงจะคลายความหวาดระแวงในใจที่มีต่อนางลงอย่างง่ายดายแล้ว
นักพรตขยับมาอยู่ข้างกายลิ่นเซี่ยวเงียบๆ กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “คุณชาย ดูท่าปีศาจตนนี้น่าจะบำเพ็ญตบะมาไม่น้อย สามารถล่อลวงจิตใจคนได้ด้วย อย่าได้ปล่อยให้รูปกายภายนอกหลอกเอาได้ล่ะ”
ลิ่นเซี่ยวรูปร่างสูงโปร่งโดดเด่น แต่นักพรตมีรูปร่างค่อนข้างท้วมเตี้ย เมื่อมายืนอยู่ข้างลิ่นเซี่ยวแล้ว เหนือศีรษะก็ตรงกับช่วงคางของลิ่นเซี่ยวพอดี
ลิ่นเซี่ยวไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ชิด จึงขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย ขยับตัวสร้างระยะห่างของทั้งสองคนโดยไร้สุ้มเสียง ทันใดนั้นในสมองพลันมีแสงสีขาวส่องสว่าง ความคิดหนึ่งราวกับดอกบัวที่งอกขึ้นมาจากโคลนตม เผยโฉมให้ผู้คนเห็นเล็กน้อย
ในชั่วพริบตานั้นเขาก็ตัดสินใจบางอย่างได้
“ถ้าหากแม่นางน้อยไม่รังเกียจว่าสุรารสชาติกระด้างบาดคอ ก็เข้ามาดื่มสักถ้วยสองถ้วยเถอะ” เขายิ้มแล้วแสดงท่าทางเชื้อเชิญ
พวกฉางหรงตกใจจนอ้าปากค้าง เป็นไปได้อย่างไร สตรีนางนี้ไม่ว่าอะไรล้วนแปลกพิกลไปหมด เป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่ใช่คนดีอะไร คุณชายมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง จะถูกคำพูดแค่ไม่กี่คำของนางล่อลวงสำเร็จได้หรือ
นักพรตผู้นั้นก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา “คุณชาย!” ได้แต่มองสตรีนางนั้นเดินมานั่งลงข้างกองไฟต่อหน้าต่อตา สีหน้าของเขาย่ำแย่ลงทุกขณะ แต่ว่าลิ่นเซี่ยวตัดสินใจอย่างเฉียบขาดแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลง เขารู้สึกพ่ายแพ้ยับเยินชนิดไม่มีทางแก้ไขได้อีก ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว
เว่ยปอได้สติกลับคืนมา ส่งสุราให้เด็กสาวด้วยสีหน้าหวาดระแวง นางก็หัวเราะคิกคักพลางยื่นมือมารับ แล้วเงยหน้ายกดื่มหลายอึกอย่างสบายใจ
ลิ่นเซี่ยวทำราวกับไม่ทันสังเกตแววตาร้อนรนและตื่นตัวของพวกฉางหรง เขามองดูเด็กสาวดื่มสุราด้วยความสนใจอย่างยิ่งพลางเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฟังสำเนียงการพูดของแม่นาง ดูเหมือนจะเป็นชาวเมืองฉางอันกระมัง”
“อืม” สตรีนางนั้นยิ้มแล้วพยักหน้ารับ นับว่าเป็นการตอบคำถามลิ่นเซี่ยว ดวงตาของนางกลอกหลุกหลิกรอบหนึ่ง ก่อนจะไปตกอยู่ที่กระโจมที่พวกฉางหรงตั้งขึ้นมา “คืนนี้จะค้างแรมที่นี่?”
“ใช่”
“รวมถึงเขาด้วย?” ทันใดนั้นเด็กสาวก็หันหน้ากลับไป นิ้วมือขาวผ่องดุจหยกยื่นออกมาชี้ไปทางนักพรต
เดิมทีนักพรตกำลังรวบรวมสมาธิ จดจ้องกระดิ่งสีทองที่ห้อยระหน้าอกของเด็กสาว พอโดนนางชี้หน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยน สะบัดแขนเสื้ออย่างแรง เดินจากไปด้วยความโกรธเคือง
สายตาของเด็กสาวไล่ตามนักพรตไป มองเห็นเขาเดินเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง ถึงได้ถอนสายตากลับมาอย่างช้าๆ
นางหันไปเห็นลิ่นเซี่ยวที่กำลังมองตรงมาโดยไม่ละสายตา จึงยิ้มออกมาด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย “ยามค่ำคืนในภูเขาลึกทั้งเนิ่นนานและหนาวเย็นนัก อีกทั้งได้ยินผู้คนเล่าลือว่าภูเขาลูกนี้มีเรื่องประหลาดบางอย่าง ข้าเองก็ตัวคนเดียว รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ คุณชายยังมีกระโจมเหลือสักหลังให้สาวน้อยอย่างข้าอาศัยค้างแรมหรือไม่”
เพ้ย! แล้วเมื่อครู่นี้ใครกันเล่าที่อยู่ในภูเขาลึกคนเดียว นางกลัวด้วยหรือ คิดจะหลอกใครกัน! ยังใช้แววตายั่วยวนเหมือนนางจิ้งจอกล่อลวง ‘คุณชายของข้า’ อีก! ไม่รู้จักอายเสียบ้าง! มารดามักเล่าว่าปีศาจจิ้งจอกเชี่ยวชาญการล่อลวงบุรุษที่สุด มองดูท่าทางยั่วยวนหว่านเสน่ห์ของนางแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นภูตผีที่บำเพ็ญตบะจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ใช่แล้ว! จะต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกแน่นอน
ฉางหรงที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งยิ่งมองไฟโทสะยิ่งแรงกล้า แทบอดใจไม่ไหวอยากจะกระโดดเอากระบี่ฟันสตรีนางนี้สักแผล
ทว่าดูเหมือนกิริยาอ่อนหวานของเด็กสาวจะใช้กับลิ่นเซี่ยวได้ผลดีทีเดียว เขาเลิกคิ้วพลางเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องนี้มีอะไรยากเย็น ฉางหรง ช่วยแม่นางน้อยผู้นี้กางกระโจมอีกสักหลัง” เขาหันไปเห็นฉางหรงกำลังจ้องนางเขม็งด้วยแววตาเปี่ยมโทสะ จึงส่งสายตาเตือนอีกฝ่ายและเอ่ย “กางกระโจมอยู่ข้างกระโจมข้าก็แล้วกัน”