ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 2
บทที่ 2
เด็กสาวขอให้พวกฉางหรงช่วยนำโครงกระดูกสีขาวภายในถ้ำฝังลงดิน ทำพิธีส่งวิญญาณอย่างเรียบง่ายเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณผู้เคราะห์ร้ายที่โดนปีศาจงูสังหาร
นอกถ้ำท้องฟ้ายังไม่สว่างจ้ามากเท่าใด มีเพียงกลุ่มเงาสีเทาดำมองเห็นได้รางๆ
พวกเขาทั้งหมู่คณะเดินออกมานอกถ้ำ มองเห็นดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณโผล่พ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกแล้ว บรรยากาศอึดอัดเย็นเยียบกลางภูเขาจางหายไปโดยสิ้นเชิง มีความรู้สึกเหมือนห่างกันคนละภพกระนั้น
เด็กสาวสูดอากาศจากหมอกเย็นสดชื่นเข้าปอดหลายครั้งอย่างพึงพอใจพลางเอ่ยรำพันออกมา
“ในที่สุดภารกิจก็ลุล่วง”
ลิ่นเซี่ยวที่ยืนเคียงไหล่เด็กสาวมาแต่แรก ได้ยินคำพูดนี้ก็หันไปมองนาง
แสงอาทิตย์สีทองอาบไล้ใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน ขับเน้นผิวขาวหมดจดนวลเนียนราวกับหยกชั้นดี ลิ่นเซี่ยวมองเห็นกระทั่งเส้นขนละเอียดอ่อนบนใบหน้างามนั้น เมื่อเทียบกับการมองเห็นใต้แสงจันทร์แล้วกลับมีความงามที่เจิดจ้าอย่างอธิบายไม่ถูกมากกว่าหลายส่วน
เพียงแต่ยังมีเลือดฝาดน้อยไปอยู่บ้าง ทำให้ดูไม่เปล่งปลั่งอย่างคนมีสุขภาพดี
ลิ่นเซี่ยวเฝ้ามองจากด้านข้าง ลอบคิดในใจว่าหรือสตรีนางนี้อาจมีโรคประจำตัวมาแต่กำเนิด ถ้าหากมีโรคแอบแฝงอยู่จริงแล้วเหตุใดยังเสียเวลาไปมาหาสู่กับภูตผีปีศาจได้อีกเล่า
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนปีศาจงูนั่นหลอกล่อพวกเราให้ลงเขา กว่าจะเดินไปถึงหินก้อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นหนทางอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ทำอย่างไรก็เดินอ้อมไม่พ้นเสียที เป็นเพราะแม่นางน้อยใช้อุบายอะไรหรือ”
เด็กสาวพยักหน้าแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตอนข้าขึ้นเขาวางผนึกข่ายอาคมตรงทางออกเพื่อป้องกันปีศาจบนเขาหลบหนี ข้าได้ยินลูกน้องของท่านเล่าว่าตอนพวกท่านขึ้นเขา ปีศาจพวกนั้นเคยใช้อาคมพรางตาเพื่อหาทางเข้าใกล้ ข้าก็แค่เลือกวิธีการเดียวกันสนองคืนผู้ใช้กลับไปเท่านั้น”
ฉะนั้นเมื่อนางพบคณะของพวกลิ่นเซี่ยวที่ริมลำธารจึงไม่ขัดขวางที่พวกเขาจะเดินลงเขา ถ้าหากพวกลิ่นเซี่ยวไม่มีใครเป็นปีศาจย่อมลงเขาได้อย่างสะดวกราบรื่น แต่ถ้าหากโดนข่ายอาคมสกัดเอาไว้ นั่นหมายความว่าในกลุ่มพวกเขาอย่างน้อยต้องมีใครสักคนเป็นปีศาจ นางเพียงแค่นั่งรอดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ ก็พอแล้ว
ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว “ปีศาจตนนี้แผลงฤทธิ์มานานหลายปี ไม่รู้ว่าทำร้ายราษฎรผู้บริสุทธิ์ไปมากมายเท่าใดแล้ว”
“นั่นน่ะสิ” เด็กสาวเอ่ยต่อคำ “ครึ่งเดือนก่อนข้าติดตามอาจารย์ผ่านมาทางนี้ อาจารย์ข้าเห็นภูเขาลูกนี้มีไอปีศาจแน่นหนา คาดเดาว่าบนภูเขาจะต้องมีสิ่งชั่วร้ายออกอาละวาดอยู่แน่ แต่ว่าตอนนั้นเขายุ่งอยู่กับการรับมือปีศาจตนอื่น ไม่อาจปลีกเวลามาสืบหาต้นสายปลายเหตุ หลายวันมานี้นึกขึ้นได้ รู้สึกไม่สบายใจไม่หายจึงให้ข้านำของวิเศษในอารามของพวกเรามาสืบหาความจริง”
ลิ่นเซี่ยวมองไปที่กระดิ่งสีทองตรงหน้าอกของเด็กสาว ของวิเศษเช่นนี้เป็นของล้ำค่าหายากอย่างแท้จริง เมื่อคืนถ้าหากไม่ได้มันคอยช่วยเหลือ เขากับพวกฉางหรงคงไม่แคล้วต้องฝังร่างตนเองในท้องงู และแม้กระทั่งนักพรตน้อยก็คงยากจะหนีพ้นเคราะห์กรรมไปได้
แต่ว่าในเมื่ออาจารย์ของนางยอมมอบของวิเศษประจำอารามให้ หมายความว่านางเป็นลูกศิษย์ที่เขารักใคร่โปรดปรานอย่างที่สุด แล้วเพราะเหตุใดถึงตัดใจให้นางมาเสี่ยงอันตรายลำพังกัน
เด็กสาวไม่ทันสังเกตเห็นแววตาครุ่นคิดของลิ่นเซี่ยว แต่เหลือบมองกระบี่วิเศษข้างเอวของเขาด้วยความสนใจ “คุณชาย ขอบังอาจถามว่ากระบี่ของท่านมีที่มาเช่นไร เหตุใดถึงได้มีพลังร้ายกาจถึงเพียงนี้”
ลิ่นเซี่ยวลังเลอยู่ชั่วครู่จึงปลดกระบี่ออกจากเอว ส่งให้เด็กสาวพินิจดูอย่างละเอียดพลางเอ่ยขึ้น “นี่เป็นกระบี่ที่ท่านปู่มอบให้ข้าก่อนจากโลกนี้ไป ข้ารู้แค่ว่ามันชื่อ ‘ชื่อเซียว’* ตอนท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่หวงแหนกระบี่เล่มนี้ยิ่งนัก แทบไม่เคยปล่อยให้ห่างตัว แต่กลับไม่รู้ว่ามันยังมีอานุภาพกำจัดปีศาจได้”
พอเห็นว่าเด็กสาวรับกระบี่ไปดูเล่นด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม ในใจลิ่นเซี่ยวพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา เหตุใดสถานการณ์ตรงหน้าดูคล้ายเด็กน้อยสองคนกำลังโอ้อวดของเล่นที่ต่างฝ่ายต่างภาคภูมิใจอยู่นะ ทว่าอย่างไรก็มีความแตกต่างระหว่างบุรุษสตรี เด็กสาวสามารถขอกระบี่ของเขาไปชื่นชมอย่างเปิดเผย แต่เขากลับไม่สะดวกใจที่จะขอเครื่องประดับติดตัวนางมาดูใกล้ๆ
เขากระแอมกระไอแผ่วเบาแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “หลังจากขึ้นเขาเมื่อวาน ข้าเคยพบปีศาจที่หมู่บ้านร้างแห่งนั้น มันเป็นปีศาจที่ไปมาไร้ร่องรอย ถูกกระบี่ชื่อเซียวฟันเตลิดหนีไปก็ไม่เคยโผล่มาอีก คิดว่าคงจะหวาดกลัวกระบี่เล่มนี้”
เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าเหลียวมองรอบกาย “สิ่งที่ท่านเจอน่าจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนของชาวบ้านที่โดนปีศาจงูฆ่าตาย เพราะว่าตายอย่างไม่เป็นธรรม ยังมีความอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้ ไม่อาจตัดใจไปเกิดใหม่ ตอนนี้ปีศาจงูถูกกำจัด เมื่อครู่ข้าก็ทำพิธีปลดปล่อยพวกเขาไปแล้ว คิดว่าไม่นานพวกเขาคงจะปล่อยวางสิ่งที่ยึดมั่น ยอมกลับเข้าสู่วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง”
เวลานี้ฉางหรงนำพวกเว่ยปอแบกร่างคนแซ่ถานและแซ่หวังที่ยังสลบไสล เดินไปตามเส้นทางเดิมกลับสู่ที่ตั้งกระโจมริมลำธาร เด็กสาวเหมือนจะรู้สึกลังเล นางคิดไปคิดมา สุดท้ายก็หยิบขวดยาขวดเล็กในถุงเงินออกมาอีกแล้วเทยาสองเม็ดมอบให้ลิ่นเซี่ยว
นางมีสีหน้าเจ็บปวดอยู่บ้างขณะกล่าวว่า “ยาชนิดนี้อาจารย์ข้าเป็นคนหลอมเอง วัตถุดิบที่ใช้ล้วนล้ำค่าหายาก ปกติหนึ่งเม็ดให้เงินเหรียญสำริดสิบพวงยังไม่ขายเลย…เห็นแก่ที่คุณชายช่วยข้ากำจัดปีศาจ ให้ท่านเพิ่มอีกสองเม็ดแล้วกัน กินยานี่แล้วคนที่บาดเจ็บสองคนนั้นจะได้หายเร็วขึ้น”
ลิ่นเซี่ยวรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แม่นางน้อยผู้นี้มองดูเป็นคนเปิดเผยจริงใจ ทำอะไรก็เฉียบขาดปานนั้น ไม่คิดว่าจะเป็นคนเห็นแก่เงินเหมือนกัน
เขาลอบหัวเราะอยู่ในใจ ภายนอกกลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ขอบคุณมาก…แม่นางน้อย แต่ยาล้ำค่าปานนี้ข้าได้มาแล้วสองเม็ด จะปล่อยให้แม่นางมอบให้เปล่าๆ อีกไม่ได้เด็ดขาด” กล่าวพลางส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามข้างกายหยิบเงินออกมาแล้วส่งให้เด็กสาว
เด็กสาวมองเห็นเงินจำนวนมากโดยไม่ทันตั้งตัวก็ตกอกตกใจเสียยกใหญ่ นางไม่คิดว่าลิ่นเซี่ยวจะมอบเงินให้อย่างใจกว้างถึงเพียงนี้
เดิมทีนางเห็นลิ่นเซี่ยวแม้จะสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบง่ายสะอาดสะอ้าน แต่ว่าแฝงด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์ กิริยาวาจาหาใช่ธรรมดาสามัญ อีกทั้งผู้ติดตามเป็นคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งกลุ่มหนึ่ง ก็คาดเดาได้อย่างเลือนรางว่าลิ่นเซี่ยวคงไม่ใช่ราษฎรทั่วไป ตอนนี้ดูท่าคงจะมีฐานะร่ำรวยไม่เบาด้วย
นางออกเดินทางมาคราวนี้ไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายที่คาดไม่ถึงตามมา โดยเฉพาะนางไม่อยากจะเข้าไปพัวพันกับชนชั้นสูงในเมืองฉางอัน