พอมองดูสถานการณ์ตรงหน้า พี่ชายคงลอบเตรียมตัวสำหรับการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ อีกแล้วเป็นแน่
นางคิดแล้วในใจก็รู้สึกข่มปร่าจางๆ จึงเอ่ยเรียกเขา “พี่ชาย”
ฉวีจื่ออวี้ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดขาวปรากฏความยินดีในทันใด “อาเหยา เจ้ากลับมาแล้ว”
ไห่ถังเองก็เผยสีหน้ายินดีไม่แพ้กัน “คุณหนู”
ตอนนี้คู่สามีภรรยาสกุลฉวีก็เข้ามาด้วย พอสังเกตเห็นสภาพในห้องแล้วดวงตาก็พากันแดงเรื่อ ฉวีเฉินซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “ลูกแม่ เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้อีกเล่า”
ฉวีจื่ออวี้ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา กวักมือเรียกฉวีชิ่นเหยา “อาเหยา เข้ามาให้พี่ชายดูหน่อยซิ ปีศาจตนนั้นรับมือยากหรือไม่ คงไม่ได้บาดเจ็บกระมัง”
ฉวีจื่ออวี้มีรูปโฉมหล่อเหลาสง่างามโดยกำเนิด ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาการเจ็บป่วย มั่นใจได้เลยว่าจะต้องนับเป็นบุรุษงามแห่งเมืองฉางอันคนหนึ่งแน่ เวลานี้แม้ว่าใบหน้าแลดูซีดเซียว แต่เพียงแค่รอยยิ้มเดียวก็ยังพอมองเห็นเงาความหล่อเหลาไร้ที่ติได้
ฉวีชิ่นเหยาอดรู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมาไม่ได้ นางรีบก้าวเข้าไปนั่งข้างกายพี่ชายอย่างสนิทสนม ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ครั้งนี้นอกจากข้าจะไปปราบปีศาจบนเขาหมั่งซานแล้ว ยังได้ลูกกลอนปราณของปีศาจงูกลับมาด้วย อาจารย์บอกว่าปีศาจงูตนนี้มีพลังตบะพันปี เป็นของล้ำค่าหายากยิ่ง มีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง พี่ชาย อีกเดี๋ยวท่านกินลูกกลอนปราณเม็ดนี้เข้าไป ร่างกายจะต้องฟื้นฟูขึ้นมากแน่”
ปีศาจงูพันปี?!
ฉวีจื่ออวี้มองใบหน้าประดับรอยยิ้มไร้เดียงสาของน้องสาวอย่างเงียบงัน ในใจกลับเกิดความตื่นตระหนกราวคลื่นโหมซัด เดินทางไปเขาหมั่งซานครั้งนี้ไม่รู้ว่าน้องสาวพบเจอสถานการณ์เสี่ยงอันตรายเช่นไร ลองคิดดูว่าแม้นางจะฝึกวิชามาหลายปี แต่ความจริงก็อายุแค่สิบสี่เท่านั้น แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของปีศาจที่มีตบะพันปีได้หรือ ไม่แน่ว่าคงเกิดการต่อสู้ดุเดือดเฉียดตายกระมัง ทว่าเวลานี้กลับไม่เอ่ยถึงเลยสักคำ เอาแต่ห่วงร่างกายของเขา…
ขอบตาเขาพลันร้อนผ่าวเล็กน้อย กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “น้องรัก…”
เมื่อลิ่นเซี่ยวออกจากศาลาเยียนปอกลับเรือนซือหรูก็เป็นเวลามืดค่ำพอสมควรแล้ว
ยามค่ำคืนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิมักจะหนาวเย็นยาวนาน ในเรือนซือหรูกำลังจุดกระถางไฟอุ่นสบาย เวินกูนำทิงเฟิงกับสาวใช้อีกหลายคนนั่งผิงไฟไปพลางทำงานเย็บปักไปพลาง ส่วนฉางหรงก็นั่งอยู่ข้างหนึ่ง คอยกระเซ้าเย้าแหย่
พอลิ่นเซี่ยวเดินเข้าเรือนมาก็พบกับบรรยากาศสุขสันต์กลมเกลียว ในใจรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันใด ความไม่สบายใจขณะที่อยู่กับบิดาก่อนหน้านี้ดั่งมีสายลมพัดพาหมอกจางหายไปในชั่วพริบตา
ฉางหรงเงยหน้าขึ้นมาเห็นลิ่นเซี่ยวก็รีบลุกขึ้นกล่าวทักทาย “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว”
ลิ่นเซี่ยวส่งสัญญาณให้พวกทิงเฟิงกับผินเสวี่ยถอยออกไป ก่อนจะรับน้ำชาที่เวินกูชงให้มาจิบสองคำแล้วเอ่ยถามนาง
“แม่นม ช่วงนี้ในวังอ๋องมีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่”
เวินกูตอบด้วยความสับสนงุนงง “ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะเจ้าคะ”
ลิ่นเซี่ยวมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างผุดขึ้นมา คิดทบทวนดูแล้วก็สั่งการฉางหรง
“ส่งคนไปโยวโจวสืบเรื่องบ้านเดิมของชุยซื่อ โดยเฉพาะแม่นางที่ชื่อหลิงหลงผู้นั้น ถ้าเกิดสืบได้ความแล้วให้รีบมารายงานข้าทันที”
ฉางหรงได้ยินคำสั่งนี้ก็เข้าใจว่าสตรีที่ชื่อหลิงหลงผู้นี้คือหลานสาวจากบ้านเดิมที่พระชายาพาเข้าวัง คาดว่าคงมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง เขาจึงรีบเอ่ยปากรับคำทันที
จากนั้นฉางหรงนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยรายงานอย่างไม่เต็มใจนัก “เว่ยปอกลับมาแล้วขอรับ บอกว่าทำตามที่คุณชายสั่ง แอบนำเงินมอบให้แม่นางนักพรตคนนั้น เขายังบอกอีกว่านางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของฉวีเอินเจ๋อไท่สื่อลิ่งแห่งเมืองฉางอัน ส่วนเพราะอะไรถึงมาเป็นนักพรต เขายังสืบหาต้นสายปลายเหตุไม่พบ รออีกสักระยะสืบได้ละเอียดแล้วจะกลับมารายงานคุณชายอีกครั้ง”
ลิ่นเซี่ยวเห็นฉางหรงเผยสีหน้าไม่แยแสสนใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง เขากระแอมกระไอแผ่วเบา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ารู้แล้ว”
เวินกูที่ยืนอยู่ข้างกันฟังจนสับสนงุนงงไปหมด
นักพรตหญิง? เงิน?
นางมองลิ่นเซี่ยวอย่างตกตะลึง “ซื่อจื่อ พวกท่านไปรู้จักนักพรตหญิงตั้งแต่เมื่อใดกัน”
คงไม่ใช่โดนสตรีสามคำสอนเก้าสำนัก พวกนั้นหลอกกระมัง
ลิ่นเซี่ยวเห็นสีหน้าเวินกูก็รู้ว่านางคงกำลังเข้าใจผิด เขาเผยรอยยิ้มบางๆ ขณะกำลังจะอธิบายเรื่องราวเห็นว่าท้องฟ้ามืดสนิทเวลาไม่คอยท่า จึงลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย
“แม่นม วันนี้ข้ายังต้องไปที่จวนหลูกั๋วกง เอาไว้วันหน้าพวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้อย่างละเอียดกัน”