ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 2
จวนหลูกั๋วกงห่างจากวังหลันอ๋องเพียงหนึ่งช่วงถนนใหญ่ ขี่ม้าไปก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป
เวลานี้ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ตอนที่บ่าวไพร่มาเปิดประตูต้อนรับ พกพาความขุ่นเคืองมาเต็มท้อง แต่ทันทีที่เห็นว่าแขกที่มาเยือนเป็นลิ่นเซี่ยวกับผู้ติดตาม ไหนเลยจะกล้าชักสีหน้าใส่ ทว่ารีบตั้งสติให้แจ่มใสมากกว่าเดิมก่อนจะเดินนำคนทั้งสองเข้าไปด้านใน
ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความก็รู้ว่าลิ่นเซี่ยวมาพบคุณชายสามของจวนนี้ บ่าวไพร่จึงเดินนำทางคนทั้งสองไปยังเรือนที่พักด้วยตนเอง
คุณชายสามท่านนี้ของจวนหลูกั๋วกงมีชื่อว่าเจี่ยงฮุยเยวี่ย เป็นบุตรชายคนที่สามซึ่งเกิดจากภรรยาเอกของหลูกั๋วกง มารดาของเขาหรือฮูหยินของหลูกั๋วกงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของมารดาลิ่นเซี่ยว คนทั้งสองจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งมารดาอย่างแท้จริง และเนื่องจากมีอายุไล่เลี่ยกัน ความชอบคล้ายคลึงกัน จึงเล่นด้วยกันอย่างสนิทสนมมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกผูกพันจึงลึกซึ้งแน่นแฟ้นกว่าญาติพี่น้องทั่วไปหลายเท่า
ลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงเดินมาถึงเรือนจู่ชิ่นของเจี่ยงฮุยเยวี่ย เพิ่งจะมานั่งในห้องโถงกลางไม่นานก็ได้ยินเสียงบุรุษและสตรีหยอกเย้ากันลอยมาจากห้องด้านใน
ลิ่นเซี่ยวพบเจอเป็นประจำจนชินชาไปนานแล้ว จึงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินไปเสีย แต่ฉางหรงกลับกลอกตาด้วยความรำคาญ จากสภาพการณ์เช่นนี้เจี่ยงซานหลางคงได้หญิงบำเรอโฉมงามมาอีกแน่ ถึงได้มีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนี้
เสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะ ม่านประตูถูกเลิกขึ้น มีชายหนุ่มอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีริมฝีปากแดง ฟันขาวสะอาด ใบหน้ารูปดอกท้อทรงเสน่ห์ ช่างคมคายไปทุกส่วน อีกทั้งหางคิ้วและดวงตาแฝงความเกียจคร้าน ทุกอากัปกิริยาสะท้อนคำว่า ‘เจ้าสำราญ’ สามคำนี้ออกมาอย่างชัดเจน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ลิ่นเซี่ยวดูเหมือนหยกขาวที่ผ่านการเจียระไนอย่างประณีต งดงามโดดเด่น แต่แฝงความเย็นชาห่างเหิน แตกต่างจากเจี่ยงซานหลางผู้นี้ที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่ายกว่า
เจี่ยงซานหลางยิ้มแย้มพลางเหลือบมองลิ่นเซี่ยว เลิกชายชุดขึ้นเล็กน้อยแล้วนั่งด้วยท่าทีสบายๆ ไม่มีการวางมาดแต่อย่างใด “เพิ่งกลับมาวันนี้หรือ ครั้งนี้ออกนอกฉางอันราบรื่นดีหรือไม่”
ใครจะรู้ว่าเมื่อลิ่นเซี่ยวและฉางหรงเงยหน้ามองแวบแรกต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกในใจ เหตุใดไม่พบหน้ากันแค่ครึ่งเดือน สีหน้าของเจี่ยงซานหลางถึงได้ย่ำแย่ลงไปมากถึงเพียงนี้
ฉางหรงหลุดปากถามออกไปว่า “คุณชายสาม ท่านเป็นอะไรไป ช่วงนี้ร่างกายท่านไม่สบายตรงที่ใดบ้างหรือไม่ขอรับ”
เจี่ยงซานหลางลูบปลายคางอย่างประหลาดใจแล้วเอ่ยถามว่า “ก็สบายดีอยู่นะ เพราะอะไรใครต่อใครถึงบอกว่าข้าสีหน้าย่ำแย่ ร่างกายข้ายังสบายดีอยู่ชัดๆ เลย”
พอเขานึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง ริมฝีปากจึงยกโค้งยิ้มร่า “จริงสิ ไม่นานนี้ข้าได้หญิงงามมาคนหนึ่ง เรื่องดีๆ เช่นนี้ไม่คู่ควรแพร่งพรายให้ผู้อื่นรับรู้ ข้าไม่อาจตัดใจปล่อยให้หลุดมือไปชั่วขณะ อาจทำให้ร่างกายทรุดโทรมไปบ้างก็ไม่แปลก”
เขาเงยหน้ามองเห็นลิ่นเซี่ยวทำสีหน้าไม่แยแสก็เลิกคิ้วขึ้นเอ่ย “เจ้าก็อย่ามัววางมาดอยู่เลย เจ้ายังไม่เคยลิ้มลองรสชาติ ถ้าหากวันใดได้ลองกินเนื้อแล้ว กลัวว่าจะไม่ยอมปล่อยมือยิ่งกว่าข้าน่ะสิ”
ฉางหรงลอบแค่นเสียงขึ้นจมูกเย้ยหยัน ซื่อจื่อไม่ใช่คนประเภทนั้น เขาเป็นคนที่มีวินัยและควบคุมตนเองได้ดีอย่างยิ่ง ไม่เคยลุ่มหลงมัวเมากับสตรี ไหนเลยจะเหมือนเจี่ยงซานหลาง ทั้งที่เกิดปีเดียวกันกับซื่อจื่อ แต่กลับรับหญิงบำเรอเข้าห้องมากถึงเจ็ดแปดคนแล้ว ยังไม่นับรวมสตรีที่มีความสัมพันธ์ฉาบฉวย ไม่จดจำชื่อเสียงเรียงนามในร้านสุราโกวหลันอีกนะ
“หญิงงามคนนี้ของเจ้าได้ตัวมาจากที่ใด หอหมู่ตันหรือเรือนเทียนซิน” ลิ่นเซี่ยวยกถ้วยชาขึ้น ถามด้วยท่าทีคล้ายจะไม่สนใจอะไร
เจี่ยงซานหลางนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลิ่นเซี่ยวถึงเป็นห่วงเรื่อง ‘คนในมุ้ง’ ของเขาได้
“ไม่ได้พากลับมาจากหอหรือเรือนอะไรอย่างที่เจ้าว่าหรอก” เขามองหน้าลิ่นเซี่ยวด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยตอบ “เมื่อเดือนก่อนข้าไปจุดธูปไหว้พระที่วัดต้าอิ่นกับท่านแม่ ระหว่างทางบังเอิญเห็นนางโดนคนถ่อยตามตอแย รู้สึกทนดูไม่ได้จึงเข้าช่วยเหลือ ต่อมาถึงรู้ว่าพ่อแม่นางตายหมดแล้ว ในบ้านเหลือแค่นางกับน้องชายสองคน นางต้องเลี้ยงดูน้องชายที่ยังเล็กถึงได้ทำดอกไม้ผ้ามาขาย ข้าเห็นชีวิตของนางน่าเวทนาปานนี้ก็เลยเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา”
“ดังนั้นเจ้าจึงรับนางเข้ามาอยู่ในจวน?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายถึงกับวางมาดซักไซ้ไล่เลียงอย่างจริงจังเช่นนี้ เจี่ยงซานหลางก็จ้องหน้าลิ่นเซี่ยว ความสงสัยในใจยิ่งลึกล้ำมากขึ้น “ไม่ใช่ นางบอกว่าแม้ตัวเองจะฐานะยากจนต่ำต้อย แต่ไม่มีทางยอมเป็นหญิงบำเรอไร้ฐานะของใคร ข้าเห็นนางดื้อรั้นได้น่าเอ็นดู มีความหยิ่งทะนงอยู่หลายส่วน จึงเขียนหนังสือแต่งตั้งฉบับหนึ่งขึ้นมา ยอมรับนางเข้ามาเป็นอนุภรรยา”
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ลิ่นเซี่ยว แม้แต่ฉางหรงก็ประหลาดใจจนเลิกคิ้วขึ้นสูง ต้องรู้เอาไว้ว่าแม้คุณชายสามจะมีสตรีข้างกายหลายนาง แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นอนุภรรยาอย่างแท้จริงมีแค่คนเดียว ในเมืองฉางอันผู้คนมากมายคิดจะใช้เส้นทางนี้มาสานสัมพันธ์กับจวนหลูกั๋วกง แต่…แต่กลับรับสตรีขายดอกไม้คนหนึ่งเข้ามาเนี่ยนะ?
ถ้วยชาในมือที่ลิ่นเซี่ยวยกจรดริมฝีปากนิ่งค้างอยู่ชั่วครู่ เขาถึงได้จิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านป้าไม่ว่าอะไรหรือ ปล่อยให้เจ้าทำเรื่องเหลวไหลตามใจเช่นนี้”
เจี่ยงซานหลางหรี่ตาลง มองประเมินลิ่นเซี่ยวอย่างจริงจัง ดูเหมือนอยากจะมองอีกฝ่ายให้ทะลุปรุโปร่ง “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป ถึงได้สนใจเรื่องในมุ้งของข้าถึงเพียงนี้ จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก เมื่อก่อนท่านแม่ไม่เคยมองสตรีคนใดของข้าเข้าตาสักคน ชอบบอกว่าพวกนางเสแสร้งแกล้งทำอยู่บ่อยๆ แต่กับอาเมี่ยวนั้น เอ่อ…นี่คือชื่อหญิงงามคนนี้ของข้า ท่านแม่กลับถูกใจอาเมี่ยวมากเชียวล่ะ ไม่ถือสาชาติกำเนิดต่ำต้อยของนาง ได้แต่บอกว่านางอ่อนหวานรู้จารีต ให้ข้าดีต่อนางมากๆ”
อ่อนหวานรู้จารีต?
ลิ่นเซี่ยวมองเจี่ยงซานหลางด้วยแววตาแปลกพิกล เสียงหัวเราะยั่วยวนปานนั้นที่ลอยมาจากห้องด้านในเมื่อครู่สะท้อนคำว่า ‘รู้จารีต’ ด้วยหรือ
เขาอดเบนสายตากลับไปมองที่ม่านประตูไม่ได้ คล้ายว่าจะมองผ่านผ้าม่านผืนหนาให้ทะลุไปจนเห็นโฉมหน้าของสตรีที่ชื่ออาเมี่ยวชัดเจน
Comments
