เจี่ยงซานหลางเริ่มโมโหพลุ่งพล่าน “วันนี้เจ้ามายั่วโทสะข้าใช่หรือไม่ กลับมาถึงไม่พูดอะไรเป็นการเป็นงานสักคำ ทำเหมือนกับข้าเป็นคนเคราะห์ร้ายโดนมารเข้าสิง ข้าเป็นคนหมกมุ่นจนสติเลอะเลือนอย่างนั้นหรือ ก่อนจะรับอาเมี่ยวเข้ามาข้าส่งคนไปสืบเรื่องราวที่บ้านนางอย่างละเอียดแล้ว ครอบครัวของนางตั้งแต่ต้นตระกูลก็อาศัยอยู่ที่ตรอกฝูเล่อวัดต้าอิ่น รอบข้างเป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ที่รู้จักกันมานานหลายสิบปี แม้แต่หยวนเจวี๋ยเจ้าอาวาสวัดต้าอิ่นก็เคยพบหน้าอาเมี่ยวกับน้องชายหลายครั้ง ตอนนี้พ่อแม่ของนางจากไป ท่านเจ้าอาวาสเห็นพวกนางพี่น้องโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ยังสั่งให้ลูกศิษย์ในวัดมอบเงินช่วยงานศพและช่วยฝังศพให้พ่อแม่ของนางอยู่เลย”
กล่าวจบก็ทำท่ายักคิ้วข่มลิ่นเซี่ยวราวกับกำลังท้าทายว่า ‘ดูซิเจ้าจะโต้แย้งอะไรได้อีก’
ฉางหรงอยากหัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จะว่าไปแล้วคุณชายทั้งสองท่านนี้ก็เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่น วาจาหนักแน่นน่าเชื่อถือในเมืองฉางอัน แต่ว่าขอเพียงให้อยู่ด้วยกันจะต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทปะทะคารมกันเป็นประจำ
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ลิ่นเซี่ยวเบ้ปากดูแคลน “ข้าแค่เห็นสีหน้าเจ้าไม่สู้ดีก็เลยถามเพิ่มสักหลายคำ เจ้ากลับใจร้อนดั่งไฟลน รีบเอ่ยปากแก้ต่างให้หญิงงามคนนั้นของเจ้า ไม่ใช่หมกมุ่นจนเลอะเลือนจะเรียกว่าอะไร ถ้าเกิดข้าพูดต่อไปเรื่อยๆ เจ้ากลัวว่าพวกเราจะต้องชักดาบเข้าใส่กันกระมัง”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ในห้วงความคิดลิ่นเซี่ยวมีความคิดแปลกประหลาดผุดวาบขึ้นมาโดยพลัน ตอนเขาพบปีศาจงูที่เขาหมั่งซานกระบี่วิเศษข้างเอวเคยส่งเสียงร้องเตือนอยู่หลายครั้ง คิดว่ามันจะต้องมีฤทธิ์แยกแยะปีศาจได้แน่ แล้วเหตุใดเขาไม่ยั่วยุเจี่ยงซานหลางให้เรียกอาเมี่ยวออกมาแล้วใช้กระบี่วิเศษทดสอบนางดูเล่า
เขาคิดเช่นนี้แต่แสร้งทำสีหน้าเหยียดหยาม “ก็แค่สตรีขายดอกไม้คนหนึ่ง ทะนุถนอมเป็นสมบัติล้ำค่า เหมือนได้เจอนางฟ้านางสวรรค์มาอย่างนั้น คิดว่าต่อให้รูปโฉมคงพอโดดเด่นอยู่บ้าง กิริยาท่าทางคงไม่ได้สุภาพเรียบร้อยอะไร เจ้าจะชมชอบของแปลกใหม่ก็สมควรรู้จักขอบเขตบ้าง!”
เจี่ยงซานหลางมองลิ่นเซี่ยวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าก็ไม่ต้องยั่วยุข้าหรอก ข้ารู้ว่าเจ้ามีแผนการอะไรอยู่ วันนี้ข้าจะให้อาเมี่ยวออกมาพบเจ้าสักหน่อย ถ้าหากเจ้าเห็นหน้าอาเมี่ยวแล้วตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกสักคำ ก็ต้องยอมเรียกนางว่าพี่สะใภ้เล็กด้วยความนอบน้อม ตกลงหรือไม่”
ลิ่นเซี่ยวเลิกคิ้วพร้อมรับคำท้าทาย “วันนี้ข้าก็อยากจะเปิดหูเปิดตาเหมือนกัน เอาสิ ทำตามที่เจ้าว่ามาก็ได้”
เจี่ยงซานหลางจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ไม่นานก็มีเสียงของเขาดังลอยมาจากห้องด้านใน น้ำเสียงมีเค้าของการปรึกษาหารือ มีความอ่อนโยนเอาใจใส่ที่บรรยายไม่ถูก
ลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงหันมาสบตากันด้วยความประหลาดใจ ก็แค่อนุภรรยา สำหรับคุณชายสามแห่งจวนหลูกั๋วกงแล้วก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง จำเป็นต้องระมัดระวังกันถึงเพียงนี้เลยหรือ
เพียงชั่วครู่ม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น เจี่ยงซานหลางจูงมือแม่นางน้อยรูปร่างสะโอดสะองเดินออกมา
สตรีนางนั้นใช้พัดกลมปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ทว่าก็ยังเผยให้เห็นดวงหน้างามพริ้มเพราดุจภาพวาดบางส่วนออกมา เรื่องรูปโฉมนับว่าเป็นหนึ่งในหมื่นอย่างแท้จริง ท่วงทีกิริยาก็พลิ้วไหวนุ่มนวล เปรียบเทียบกับสตรีในตระกูลใหญ่ที่เวลานี้ชมชอบรูปร่างอวบอิ่มยิ่งทำให้นางดูงดงามสะท้านใจคน
เจี่ยงซานหลางพาอาเมี่ยวเดินมาหยุดตรงหน้าลิ่นเซี่ยว กระซิบบอกข้างหูนางว่า “ท่านนี้คือหลันอ๋องซื่อจื่อ” พลางแสดงกิริยาปกป้องคุ้มครองเต็มที่
อาเมี่ยวพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะย่อกายลงคารวะลิ่นเซี่ยวอย่างอ่อนช้อยพร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “คารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ” ปิ่นระย้าที่เสียบอยู่กับผมของนางกระทบกันตามจังหวะการเคลื่อนไหว ส่งเสียงไพเราะรื่นหู
ฉางหรงที่ยืนอยู่ด้านหลังลิ่นเซี่ยวมองเห็นปิ่นปักผมและต่างหูของสตรีนางนี้ชัดเจน อดอุทานชื่นชมในใจไม่ได้ มรกตและไข่มุกงามล้ำค่าระดับนี้ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์หญิงก็มีในครอบครองไม่มากนัก ดูท่าคุณชายสามจะให้ความสำคัญกับอนุภรรยาคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ลิ่นเซี่ยวมองหน้าอาเมี่ยว แต่ความสนใจกลับไปอยู่ที่กระบี่ข้างเอวเล่มนั้น ดีนักเชียว กระบี่เงียบงันไร้การตอบสนอง ไม่ไว้หน้าเจ้านายของมันเลยสักนิด
เขาสูญเสียความมั่นใจไปพอสมควร ในขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจโล่งอก เงยหน้าเห็นเจี่ยงซานหลางเลิกคิ้วมองอยู่ก็หัวเราะเยาะตนเอง ลุกขึ้นคารวะตอบอาเมี่ยวอย่างนอบน้อม อมยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย
“ลิ่นเซี่ยวคารวะพี่สะใภ้เล็ก”