ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 2
แม้ว่านางจะเสียดายยาสี่เม็ดนั้นมากเพียงใด แต่ก็ยังยืนกรานปฏิเสธ “การกำจัดปีศาจปราบมารเป็นหน้าที่ของนักพรตอย่างเราต้องรับผิดชอบมาแต่ไหนแต่ไร…ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเมื่อครู่ไม่ได้คุณชายช่วยเหลือ ตอนนี้ข้าก็คงโดนงูยักษ์กลืนลงท้องไปนานแล้ว จะถือว่ามอบยาให้เปล่าๆ ได้หรือ คุณชายอย่าได้เกรงใจเช่นนี้เลย”
ไม่รอให้ลิ่นเซี่ยวเอ่ยปากอีกครั้ง นางก็กล่าวอำลาอย่างตรงไปตรงมาทันที “ตอนข้ามาถึงฉางอันว่าจ้างรถม้าไว้คันหนึ่ง ก่อนจะขึ้นเขาก็เคยกำชับว่าให้คนขับรถม้ารออยู่ที่โรงเตี๊ยม คิดว่าป่านนี้เขาคงจะรอจนร้อนใจแย่แล้ว เมื่อสิ่งชั่วร้ายบนเขาถูกกำจัดหมดสิ้น ข้าคงต้องลงเขาสักที ขอลาตรงนี้เลยแล้วกัน”
กล่าวจบก็หันหลังกลับ ก้าวยาวๆ เดินลงเขาไป
ช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดเสียจริง ดูเหมือนกลัวว่าจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขากระนั้น ลิ่นเซี่ยวเฝ้ามองเงาแผ่นหลังเล็กบอบบางเดินห่างไปไกล เขาหรี่ตามองแล้วกดเสียงลงต่ำสั่งการผู้ติดตามหลายประโยค คนผู้นั้นพยักหน้ารับคำสั่งแล้วเดินจากไป
ฉางหรงจัดเตรียมที่ทางให้คนแซ่ถานและคนแซ่หวังพักผ่อนแล้ว เขาก็รีบวิ่งปรี่มาอยู่ข้างกายลิ่นเซี่ยว “เอ๊ะ! แม่นางนักพรตคนนั้นเหตุใดจู่ๆ ก็จากไปเล่า”
พอเห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เขาก็กลัวว่าคุณชายยังคิดสืบหาร่องรอยของสตรีนางนั้น จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้านำถานฉีกับหวังสิงไปนอนในกระโจมเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าบนเขาอากาศหนาวเย็น เกรงว่าไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน คุณชาย จะให้ข้าลงเขาไปจ้างรถม้าขึ้นมาสักสองสามคันเพื่อนำพวกเขาสองคนกลับเมืองฉางอันหรือไม่”
ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว
ลิ่นเซี่ยวเงยหน้ามองดูท้องฟ้า เอ่ยสั่งการอย่างชัดเจนว่า “รีบลงเขาโดยเร็วเถอะ”
ระหว่างเดินทางกลับฉางอัน ฉางหรงเอ่ยถามลิ่นเซี่ยวขึ้น
“คุณชายรู้ได้อย่างไรว่านักพรตนั่นเป็นปีศาจ”
ลิ่นเซี่ยวคิดทบทวนก่อนเอ่ย “เมื่อคืนตอนดื่มสุราอยู่ริมลำธาร ไม่ทันระวังไปแตะโดนมือซ้ายของนักพรตนั่น มือข้างนั้นเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง ไม่มีไออุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ร่างกายก็แผ่กลิ่นเหม็นสาบออกมาจางๆ ข้าถึงสงสัยนักพรตคนนั้นเข้า”
ฉางหรงนึกได้ว่าลิ่นเซี่ยวมีประสาทรับกลิ่นเฉียบคมมาแต่เล็กและยังรักความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจทนกับกลิ่นอายความสกปรกโสโครกได้เลย เขาจะได้กลิ่นแปลกๆ จากร่างของนักพรตก็ไม่น่าประหลาดใจ
ฉางหรงยังลอบขบขันนักพรตนั่น คิดจะเข้าใกล้ใครไม่เลือกให้ดี กลับไปเข้าใกล้คุณชายของเขา สมควรแล้วที่เผยธาตุแท้ตนเองออกมา!
“แต่ว่าคืนนั้นแม่นางนักพรตก็มีท่าทางน่าสงสัย ทั้งตอนเกิดเรื่องยังหายตัวไปพร้อมกับถานฉีและหวังสิง เหตุใดคุณชายถึงมั่นใจว่าไม่ใช่นางล่ะขอรับ”
“เจ้ายังจำตอนที่พวกเขาสองคนเกิดเรื่องได้หรือไม่ ใครปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย แล้วใครกันที่พูดว่า ‘องครักษ์แซ่ถานผู้นั้น’ ” ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วพลางเอ่ย
ฉางหรงเค้นสมองทบทวนอย่างจริงจังครู่หนึ่ง พอเข้าใจกระจ่างแจ้งพลันเอ่ยว่า “ข้านึกออกแล้ว เป็นเจ้านักพรตนั่น!” เขาตบขาตนเองฉาดใหญ่ด้วยความตื่นเต้น “ข้าจำได้ ตอนนั้นเขายังพูดว่า ‘ข้าได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ผิดแน่นอน’ ใช่แล้ว! เรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้นกะทันหัน แม้แต่พวกเราที่อยู่ด้วยกันมาทั้งวันทั้งคืนยังฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงตะโกนของใคร แล้วนักพรตนั่นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นถานฉี”
ฉางหรงกล่าวแล้วก็รู้สึกละอายแก่ใจเหลือเกิน ดูท่าอย่างไรนักพรตนั่นก็เป็นปีศาจ แม้ว่าจะแปลงกายมีรูปร่างเช่นมนุษย์ ทว่ากลับเผยพิรุธให้เห็นหลายครั้ง แต่ว่ารายละเอียดเหล่านี้กลับโดนคนสะเพร่าเลินเล่ออย่างเขามองข้ามไป
เฮ้อ…ถ้าเมื่อใดมีความคิดละเอียดรอบคอบเหมือนคุณชายก็คงดีหรอก
เขามองลิ่นเซี่ยวด้วยความเลื่อมใส
เมื่อพวกเขาทั้งหมู่คณะกลับมาถึงฉางอันก็เป็นช่วงโพล้เพล้ของวันต่อมา
พ่อบ้านใหญ่อู๋แห่งวังหลันอ๋องทราบข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงมายืนรอรับอยู่ที่หน้าประตูวัง
ลิ่นเซี่ยวเดินทางมาถึงหน้าประตูก็พยักหน้าให้พ่อบ้านใหญ่อู๋แล้วลงจากรถม้า ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในวัง
พ่อบ้านใหญ่อู๋เร่งฝีเท้าเดินตามหลังลิ่นเซี่ยวไปทีละก้าว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ท่านอ๋องเป็นห่วงซื่อจื่อ อยู่ตลอด ได้ยินว่าวันนี้ซื่อจื่อกลับมาแล้วก็สั่งกำชับให้ห้องครัวจัดเตรียมสุราอาหารที่ซื่อจื่อโปรดปราน คืนนี้ตั้งใจว่าจะจัดเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของซื่อจื่อด้วยนะขอรับ”
ฝีเท้าของลิ่นเซี่ยวชะงักไป เผยรอยยิ้มแลดูคลุมเครือ “ข้ารู้แล้ว ออกไปได้”
พ่อบ้านใหญ่อู๋รีบพยักหน้าอย่างยินดี ก่อนจะถอยออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ลิ่นเซี่ยวมุ่งหน้ามาเรื่อยๆ จนถึงเรือนซือหรู เพิ่งจะย่างเท้าเข้าประตู แม่นมเวินกูก็นำทิงเฟิงและผินเสวี่ย รวมถึงสาวใช้กลุ่มหนึ่งมารอต้อนรับ
นางเห็นลิ่นเซี่ยวดูดำคล้ำและผ่ายผอมไปก็อดปวดใจขึ้นมาไม่ได้ รีบก้าวเข้าไปคารวะพลางเอ่ย “กลับมาเสียทีนะเจ้าคะ หลายวันมานี้ต้องเดินทางระหกระเหิน คงลำบากมามิใช่น้อย” น้ำเสียงของนางแสดงความทุกข์ใจอย่างยิ่ง
ลิ่นเซี่ยวก้าวเข้ามาประคองให้เวินกูลุกขึ้นพร้อมเอ่ยยิ้มๆ “ทำให้แม่นมต้องกังวลแล้ว ข้าไม่ได้ลำบากอะไร งานตามหน้าที่ก็จัดการได้ราบรื่นดี”
เด็กคนนี้ชอบแจ้งแต่ข่าวดี ไม่แจ้งข่าวร้ายอยู่เรื่อย
เวินกูถอนหายใจด้วยความรักใคร่เอ็นดู บิดผ้าหมาดแล้วช่วยลิ่นเซี่ยวเช็ดหน้าให้สะอาด ก่อนจะยกน้ำชาที่ชงรอเอาไว้แล้วมาให้ “หลายวันมานี้อยู่ข้างนอกคงไม่ได้กินอาหารดีๆ กระมัง ข้าทำขนมเปี๊ยะน้ำผึ้งกรอบที่ท่านชอบที่สุดไว้ให้แล้ว ก่อนอาหารเย็นก็กินรองท้องสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ลิ่นเซี่ยวยิ้มแล้วเอ่ยปากรับคำ ระหว่างที่แม่นมพูดคุยกับเขาอยู่ นางเหลือบมองข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เข้าใจว่านางเป็นห่วงฉางหรงจึงอธิบายว่า “ฉางหรงกลับวังมาพร้อมกับข้า ตอนนี้ไปที่คอกม้า ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
เวินกูถึงได้วางใจ ช่วยลิ่นเซี่ยวจัดคอเสื้อให้เรียบร้อย ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ช่วงที่พวกท่านไม่อยู่ ข้าไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักคืน กังวลอยู่ตลอดว่าระหว่างทางพวกท่านจะเจออันตรายอะไรบ้าง วันนี้คงจะได้นอนหลับได้สนิทใจ ถ้าหากพวกท่านยังไม่มีข่าวคราว ข้าคงต้องไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ที่วัดต้าอิ่นแล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่นางพร่ำรำพันฉางหรงก็กลับมาพอดี สองแม่ลูกได้พบหน้ากันก็อดจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาอีกครั้งไม่ได้