ชุดคลุมยาวผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำปักลายเมฆมงคล สายคาดเอวทำจากหินฮั่นไป๋อวี้ การแต่งกายอย่างประณีตหรูหรา ใบหน้าสงบเยือกเย็นราวกับหยกขาวบริสุทธิ์ก็ไม่ปาน
นี่คือคนหนุ่มที่ความเยาว์วัยจางหายไปอย่างช้าๆ ดุจดั่งหยกล้ำค่าผ่านการเจียระไน กำลังเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นทีละนิด ทำให้ผู้คนไม่อาจมองข้ามไปได้
ทันใดนั้นชุยซื่อก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าบาดตาอยู่บ้าง นางกุมมือของหมิ่นหลางเอาไว้ กล่าวกับลิ่นเซี่ยวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ต้าหลางกลับมาแล้ว หลายวันนี้ท่านพ่อของเจ้าเป็นห่วงไม่น้อยเลย ไม่สิ พอได้ยินว่าวันนี้เจ้ามาก็บอกปัดเทียบเชิญของจวนอื่นไปหมด ตั้งใจจัดเตรียมอาหารเพื่อต้อนรับเจ้าเลยเชียว”
ลิ่นเซี่ยวยิ้มตอบ “ขอบคุณท่านพ่อและพระชายาที่ห่วงใย” พอคารวะแล้วเขาก็เดินมานั่งลง ไม่กล่าวอะไรให้มากความอีก
หลันอ๋องสัมผัสได้ว่าบุตรชายเกรงใจห่างเหิน สีหน้าก็หดหู่ลงโดยพลัน ทว่าชุยซื่อกลับไม่แยแสเลยสักนิด กวักมือเรียกเด็กสาวคนหนึ่งที่ตรงตำแหน่งระดับเดียวกับลิ่นเซี่ยวพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลิงหลง รีบมาคารวะซื่อจื่อเร็วเข้า”
ตั้งแต่ตอนแรกที่เดินเข้ามาในศาลา ลิ่นเซี่ยวสังเกตเห็นว่ามีสตรีแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง คิดว่าคงจะเป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของชุยซื่อผู้นั้น ในใจก็เกิดความชิงชังรังเกียจ จึงไม่ได้มองอีกฝ่ายโดยละเอียด
เวลานี้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งก้าวออกมาคารวะตนเอง ดูแล้วอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าเป็นรูปผลแตง มีดวงตาใสกระจ่างงดงาม เทียบกับสตรีทั่วไปแล้วมีความเย้ายวนยิ่งกว่า
ลิ่นเซี่ยวยิ้มอย่างเย็นชา ต้องลำบากชุยซื่อแล้ว ไม่รู้ว่าไปตามหา ‘หลานสาวบ้านเดิม’ ที่มีรูปโฉมงามหยาดเยิ้มปานนี้มาจากที่ใด
สตรีนางนี้ก็ลอบประเมินลิ่นเซี่ยวอย่างเงียบๆ เห็นใบหน้าเขาหล่อเหลาคมคายปานงานแกะสลักชิ้นเอกแต่ไม่มีรอยยิ้มจริงใจประดับอยู่เลยสักนิด กลับเปี่ยมด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง นางเม้มปากยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลิงหลงคารวะซื่อจื่อ ก่อนหน้านี้ได้ยินท่านอาหญิงบอกว่าซื่อจื่อกับท่านอ๋องใบหน้าช่างเหมือนราวแกะสลักจากพิมพ์เดียวกัน วันนี้ได้มาเห็นกับตาจะว่าเหมือนก็เหมือนอยู่ แต่ใบหน้าท่านอ๋องประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ดูอ่อนโยนเป็นมิตรกว่าซื่อจื่อเยอะเลยเจ้าค่ะ”
นี่นางกำลังล้อเล่นกับเขาหรือ ลิ่นเซี่ยวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างเฉยชา พินิจพิเคราะห์สตรีตรงหน้าใหม่อีกครั้ง นางมีรูปโฉมงดงาม ท่าทางเฉลียวฉลาด แต่กลับแสดงสีหน้าไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทำให้เขานึกถึงเด็กสาวที่เจอบนเขาคนนั้น
หลันอ๋องเห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าเย็นชาก็ช่วยแก้สถานการณ์ให้หลิงหลง “หลิงหลง เจ้านี่นะ ข้านึกว่าเจ้าเจอหน้าซื่อจื่อแล้วจะสำรวมกิริยา ไม่คิดว่าแม้แต่เขาเจ้าก็กล้าเอามาล้อเล่น”
จากนั้นเขาก็หันมองลิ่นเซี่ยวอีกครั้ง “ต้าหลาง หลิงหลงมีนิสัยชอบพูดจาล้อเล่น ทำอะไรตามใจตัวเองจนเคยชินแล้ว เจ้าก็อย่าได้ถือสาเลย…ว่าตามฐานะแล้วเจ้าควรจะเรียกหลิงหลงว่าน้องสาว นางเป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของมารดาเจ้า เดิมทีอาศัยอยู่ที่เมืองโยวโจว เมื่อสองปีก่อนบิดามารดาของนางจากไปทั้งคู่ พี่ชายพี่สะใภ้ก็ใจร้ายกับนาง ทำให้ต้องหนีมาพึ่งมารดาเจ้า วันหน้าพวกเจ้าก็ดีต่อกันไว้นะ”
มารดา?
ลิ่นเซี่ยวถูกสองคำนี้เสียดแทงใจจนขมปร่า มารดาของเขามีแค่คนเดียว เวลานี้ร่างกายถูกฝังอยู่กลางสุสานเปลี่ยวร้างนอกเมืองฉางอัน พอบิดามีคนใหม่แล้ว แม้กระทั่งร่องรอยการมีตัวตนของมารดาก็ต้องลบออกไปจนหมดหรือ
เรื่องน่าขบขันที่สุดคือบิดาไม่ถามเขาสักคำว่างานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างไร พบอุปสรรคบ้างหรือไม่ ทันทีที่กลับมาถึงก็เรียกหาให้มานับญาติ ความมุ่งมั่นกระตือรือร้นมีมากจนทำให้เขาเกิดความสงสัย ราวกับว่าสตรีผู้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนนี้ต่างหากเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน เขาก็แค่คนที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลย
เขายิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเหน็บหนาว ผิดหวังถึงขีดสุด ทว่าสีหน้ากลับแสดงรอยยิ้มเบาบางออกมา
ตอนนี้ชุยซื่อก็ยิ้มออก “ในเมื่อท่านอ๋องพูดเช่นนี้แล้ว หลิงหลง เจ้าก็อย่าเรียกซื่อจื่ออีกเลย เรียกว่าพี่ชายเถอะ ไม่ต้องห่างเหินกันปานนั้น”
“เหมาะที่สุดแล้ว” หลันอ๋องดีอกดีใจยิ่งนัก “ต้าหลาง จากนี้ไปหลิงหลงก็เป็นน้องเจ้าแล้ว เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดู ชาติกำเนิดของนางก็น่าเวทนา เจ้าจะต้องดีต่อนางให้มากล่ะ”
หลิงหลงได้ยินเช่นนี้ก็รีบคารวะลิ่นเซี่ยวอีกครั้งโดยไม่เคอะเขิน เผยรอยยิ้มกว้างพลางเอ่ยว่า “หลิงหลงคารวะพี่ชาย”
ลิ่นเซี่ยวมองสตรีที่ปรับตัวตามสถานการณ์อย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเพิ่งจะเข้าวังมากี่วัน นอกจากแม่นมของเขายังมั่นอกมั่นใจในตัวนาง แม้กระทั่งบิดาที่ไม่เคยคิดจะสนใจใครยังปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนมราวกับเป็นบุตรสาวแท้ๆ…
งานเลี้ยงนับญาติที่เตรียมการมาเป็นอย่างดีเช่นนี้ ถ้าหากเขาเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ อย่างเบื่อหน่าย ยังจะเล่นละครกันต่อไปได้อย่างไรเล่า
จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา มองหน้าหลิงหลงแล้วเอ่ยว่า “น้อง…หลิงหลง”
แปะๆ
หมิ่นหลางตัวน้อยดูเหมือนจะดีใจกับเรื่องอะไรบางอย่าง จึงร้องเสียงดังพลางตบมือแปะๆ