ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 2
ฉวีชิ่นเหยาเดินทางลงจากเขาหมั่งซาน ตามหาคนขับรถม้าที่รอนางอยู่นอกโรงเตี๊ยมตรงเชิงเขาพบ นางก็กระโดดขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับฉางอัน
เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ฉวีชิ่นเหยาที่สวมหมวกม่านแพรก็ร้องเรียกคนขับรถม้า “นี่ อาจารย์ ท่านจะปลอมตัวไปถึงเมื่อใด”
คนขับรถม้าสะดุ้งตกใจจนคิ้วยาวสีขาวโพลนสองข้างเลิกขึ้นสูง “เจ้า…มองออกได้อย่างไรกัน วิชาแปลงโฉมของอาจารย์ล้ำเลิศปานนี้…”
ฉวีชิ่นเหยาขัดจังหวะเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “กลิ่นสุราจากร่างผู้อาวุโสอย่างท่านเข้มข้นเช่นนี้ ทั้งยังเป็นสุราลวี่อี่ ที่ข้าหมักเองกับมือ ข้าจะแยกแยะไม่ออกได้อย่างไร ข้าถามท่านหน่อย ก่อนจะออกจากฉางอัน เหตุใดท่านต้องหลอกข้าด้วยว่าปีศาจบนเขาหมั่งซานเป็นปีศาจตัวเล็กๆ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นแล้ว ไยต้องทำร้ายลูกศิษย์ตัวเองเช่นนี้ด้วย”
ท่านผู้เฒ่าไม่แสดงสีหน้าละอายใจออกมาสักนิด เอ่ยตอบอย่างมีเหตุผลหนักแน่นว่า “ถ้าเกิดข้าไม่พูดเช่นนั้น เจ้าจะยอมขึ้นเขาหมั่งซานหรือ อีกอย่างนะ ยามนี้เจ้าก็ยังอยู่ดีมีสุขไม่ใช่หรือไร ปีศาจเจ้าก็ปราบได้แล้ว ลูกกลอนปราณเจ้าก็ได้มาแล้ว แต่นี่กลับมากล่าวโทษอาจารย์อีก”
คิ้วเรียวงามของฉวีชิ่นเหยาเลิกขึ้น “พวกเราตกลงกันแล้วนะ ลูกกลอนปราณข้าจะเอากลับบ้าน ผู้อาวุโสอย่างท่านห้ามใช้อุบายหลอกลวงข้าอีก”
“ให้ก็ได้ ให้เจ้าก็ได้!” ท่านผู้เฒ่าตอบด้วยความหงุดหงิด “ก็แค่ลูกกลอนปราณของปีศาจงูไม่ใช่รึ”
พอเขานึกอะไรขึ้นได้ ก็มองฉวีชิ่นเหยาด้วยแววตาถมึงทึง “อาจารย์ขอถามเจ้า คุณชายที่เจอบนเขาคนนั้นจะให้เงินเจ้า เพราะอะไรเจ้าถึงแสร้งใจกว้าง ยืนกรานไม่ยอมรับมาเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่หลอมยาลูกกลอนคืนวิญญาณเม็ดหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไร มีอย่างที่ไหนมอบให้ผู้อื่นเปล่าๆ เช่นนั้น”
เห็นฉวีชิ่นเหยาเผยสีหน้าไม่แยแส เขาก็โมโหฟืดฟาดจนหนวดกระดิกหลายครั้ง “ได้! ไม่พูดเรื่องอื่นแล้ว เจ้าคงรู้ว่าสมุนไพรยาหลายชนิดที่ใช้หลอมยาลูกกลอนคืนวิญญาณราคาแพงเพียงใดกระมัง อย่างตู๋หัว หนักหนึ่งตำลึง ในตลาดตะวันออกก็เป็นเงินเหรียญสำริดหนึ่งพวงแล้ว…”
ตาเฒ่าเห็นแก่เงิน!
ฉวีชิ่นเหยาขัดจังหวะอาจารย์ของนางด้วยน้ำเสียงดูแคลน “วิญญูชนย่อมรู้การควรไม่ควร! อย่างไรคุณชายท่านนั้นก็นับว่าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ครั้งหนึ่ง ข้าจะกล้าเรียกร้องขอเงินจากเขาโดยไม่เกรงใจได้อย่างไร”
ท่านผู้เฒ่ารู้สึกแค้นใจเหล็กที่ไม่อาจหลอมเป็นเหล็กกล้า เขาเอ่ยขึ้นว่า “ไม่น่าแปลกใจที่เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ช่างไม่รู้จักคุณค่าของเงินเอาเสียเลย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ยามบ้านเมืองสงบรุ่งเรือง อาจารย์ดูแลอารามชิงอวิ๋นอย่างยากลำบากเพียงใด ไม่ต้องพูดถึงว่าสิบวันครึ่งเดือนยังทำการค้าไม่ได้สักครั้ง แม้กระทั่งคนที่ต้องการยันต์คุ้มครองบ้านเรือนก็น้อยลงกว่าปีก่อน เฮ้อ…เป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า อาจารย์ก็อยากจะ ‘รู้การควรไม่ควร’ อยู่หรอก แต่ว่าคนในอารามทั้งบนล่างหลายสิบชีวิตจะยอมหรือ”
ฉวีชิ่นเหยากลัวอาจารย์พร่ำพรรณนาความยากลำบากในการดูแลอารามที่สุด ลองอีกฝ่ายได้หลุดปากบ่นแล้วสามวันสามคืนก็ยังไม่จบสิ้น นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“นี่มันอะไรกัน! ที่แท้อาจารย์ลอบขึ้นเขาอยู่ก่อนแล้ว แล้วเพราะอะไรตอนข้ากำจัดปีศาจถึงไม่ออกมาช่วย”
ท่านผู้เฒ่าแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้ามีของวิเศษพิทักษ์อารามอย่างกระดิ่งกลืนวิญญาณ อีกทั้งได้รับการอบรมสั่งสอนจากข้ามาหลายปีถึงเพียงนี้ ถ้ายังสยบปีศาจตนนั้นไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดว่าเป็นศิษย์ข้านักพรตชิงซวีจื่อแล้ว”
ฉวีชิ่นเหยาใบหน้าพลันแดงก่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความออดอ้อน “แต่ปีศาจตนนั้นร้ายกาจมากเลยนะเจ้าคะ” นางแสร้งทำท่าทำทางคว้าแขนอาจารย์เอาไว้ แล้วบิดไปมาเหมือนบิดน้ำตาลปั้น ในใจมีความรู้สึกละอายใจระคนซาบซึ้ง รู้แก่ใจดีว่าอาจารย์จะต้องเป็นห่วงแน่ถึงได้ติดตามนางจากฉางอันขึ้นเขาหมั่งซานโดยไม่แยแสความลำบากตรากตรำ
พอนางนึกถึงลิ่นเซี่ยวขึ้นมาได้ นางก็ถามอาจารย์ด้วยความอยากรู้ “อาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่ากระบี่วิเศษของคุณชายท่านนั้นมีที่มาอย่างไร เหตุใดถึงร้ายกาจนัก พอเทียบกับกระดิ่งกลืนวิญญาณของพวกเราแล้วไม่ได้ห่างชั้นกันสักเท่าใดเลย”
ท่านผู้เฒ่าก็มีสีหน้าเคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน “กระบี่เล่มนั้นเป็นของราชวงศ์ ย่อมไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ”
พอเห็นว่าฉวีชิ่นเหยายังไม่เข้าใจ เขาก็อธิบายเพิ่มอีก
“ถ้าหากอาจารย์ดูไม่ผิด กระบี่เล่มนั้นเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณกาล ในสมัยฮ่องเต้เกาจู่ ทรงเก็บได้โดยบังเอิญขณะออกรบ มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น สามารถเลือกนายได้เอง ใช่ว่าคนธรรมดาจะบังคับควบคุมได้ ได้ยินว่าเมื่อตกทอดมาถึงราชวงศ์ปัจจุบัน อดีตฮ่องเต้ทรงเคยให้บรรดาลูกหลานเชื้อพระวงศ์มาชมกระบี่เล่มนี้ เด็กสิบกว่าคนผลัดกันมาทดสอบดู มีแค่หลันอ๋องซื่อจื่อที่ชักกระบี่เล่มนี้ออกมาได้ เดิมทีอดีตฮ่องเต้ทรงรักใคร่เอ็นดูหลันอ๋องซื่อจื่ออยู่แล้ว จึงพระราชทานกระบี่เล่มนี้ให้เขา”
ที่แท้คุณชายที่พบบนเขาคือหลันอ๋องซื่อจื่อ มิน่าเล่าถึงได้มีผู้ติดตามข้างกายมากมายเช่นนั้น ฉวีชิ่นเหยาเดาะลิ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างประจบประแจงอาจารย์ว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงได้รอบรู้ไปเสียทุกอย่างเลย ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
ผู้คนชอบฟังคำหวานไม่ว่าจะมาจากความจริงใจหรือไม่ แม้ชิงซวีจื่อจะรู้ดีว่าลูกศิษย์เลือกวาจารื่นหูเพื่อหลอกให้ตนเองดีใจ แต่ก็ยังเผยสีหน้าแช่มชื่น
“คิดถึงตอนที่อาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังสุดขีดในเมืองฉางอัน เคยเก็บกวาดปัญหาเละเทะให้ตระกูลใหญ่โตมาไม่น้อย ขอยกเรื่องคดีจวนฝู่หย่วนโหว เป็นตัวอย่างแล้วกัน ฮูหยินของฝู่หย่วนโหวสั่งโบยตีสาวใช้ห้องข้าง ของท่านโหวคนหนึ่งจนตาย สาวใช้คนนั้นกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ออกอาละวาดในจวนฝู่หย่วนโหวจนโกลาหลวุ่นวาย คนทั้งหลายในจวนโหวต่างพร้อมใจกันเชิญนักพรตชื่อเสียงจอมปลอมหลายคนมา แต่ว่าต่างก็โดนวิญญาณอาฆาตหลอกหลอนจนเตลิดหนีไปหมด ผลสุดท้ายก็ต้องให้อาจารย์ออกโรงปราบวิญญาณอาฆาตดวงนั้น หึๆ พอเล่าขึ้นมาแล้ว ความลับของตระกูลใหญ่ในเมืองฉางอันไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้ อย่ามองแต่ว่าภายนอกดูหรูหราฟุ่มเฟือย ภายในมีเรื่องสกปรกโสมมนับไม่ถ้วนเชียวล่ะ”
Comments
