ฉวีจื่ออวี้เติบโตอย่างยากลำบากจนอายุครบสองขวบ ฉวีฮูหยินก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก คู่สามีภรรยาดีใจระคนกังวล ให้ความสำคัญกับการตั้งครรภ์ครั้งนี้มากกว่าปกติ แม้ฐานะจะไม่ร่ำรวยมั่งมี แต่ว่ารังนกตุ๋นโสมก็มีกินบำรุงเสริมไม่น้อย อีกทั้งยังเชิญหมอหญิงหัตถ์เทวดาที่มีชื่อเสียงมาตรวจชีพจรที่บ้านทุกเดือน เรียกว่าระมัดระวังรอบคอบจนไม่อาจทำได้มากกว่านี้แล้ว
พอถึงวันครบกำหนดคลอด ฉวีฮูหยินมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คิดว่าสวรรค์คงจะมีเมตตา นางกับสามีต้องทุกข์ใจมามาก ครั้งนี้นางจะต้องคลอดบุตรที่แข็งแรงสมบูรณ์คนหนึ่งได้แน่
ใครจะรู้ว่าเด็กทารกหญิงที่คลอดออกมา ใบหน้าน้อยๆ จะบวมคล้ำเป็นสีม่วง แม้กระทั่งเสียงร้องไห้ก็ไม่มีสักแอะ ถูกหมอตำแยตบก้นซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงได้ส่งเสียงร้องเหมือนลูกแมวน้อยออกมาสองคำ
แม้ว่าบุตรชายคนโตจะร่างกายอ่อนแอ อย่างไรก็เฝ้าประคบประหงมจนเติบโตขึ้นมาได้ ส่วนบุตรสาวคนเล็กกลับมีทีท่าว่าจะไม่รอดแน่ สองสามีภรรยารู้สึกดั่งมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยง เริ่มออกตามหาหมอถามหายาไปทั่วสารทิศ จนกระทั่งบุตรสาวอายุครบเดือน สกุลฉวีที่ตามหาหมอทั่วฉางอันก็เชิญหมอที่พอมีชื่อเสียงมาได้คนหนึ่ง แต่ร่างกายของทารกน้อยกลับอ่อนแอลงไปทุกวันจนเหลือเพียงลมหายใจเบาบางดุจเส้นไหมแล้ว
วันนี้สองสามีภรรยาโอบกอดความหวังสุดท้ายไปจุดธูปไหว้พระที่อารามชิงอวิ๋น บังเอิญพบกับนักพรตชิงซวีจื่อที่กลับจากการเดินทางปลีกวิเวก เขาสังเกตเห็นทารกหญิงในอ้อมแขนฉวีเอินเจ๋อโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ประกาศนามองค์เทพที่เคารพ ‘ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุน ผู้มีศรัทธาท่านนี้ ทารกหญิงในอ้อมแขนชะตามีเคราะห์ร้ายอย่างหนัก วิญญาณชั่วร้ายรุมเร้าพัวพัน ชาวบ้านธรรมดาจะเลี้ยงดูรอดได้อย่างไร ตัดใจยกนางให้เป็นศิษย์ของข้าเถอะ ข้าสามารถปกป้องชีวิตของนางได้ ไม่อย่างนั้นภายในเจ็ดวันจะต้องมีอันตรายร้ายแรงแน่’
ฉวีเอินเจ๋อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ฉวีฮูหยินกลับมีอาการดั่งคนป่วยหนักวิ่งวุ่นหาหมอ กระโดดพรวดเดียวลงจากรถม้า ก้มศีรษะกราบไหว้นักพรตชิงซวีจื่อ
‘ขอร้องท่านนักพรตช่วยชีวิตด้วย! ขอร้องท่านนักพรตช่วยชีวิตลูกข้าด้วย!’ นางฝืนกลั้นหยดน้ำตาไว้ไม่อยู่ราวสร้อยไข่มุกที่ขาดสะบั้น
ฉวีเอินเจ๋อเห็นภรรยาทุกข์ทรมานปานนี้ หัวใจก็ปวดร้าวคล้ายโดนควักเนื้อออกไปก้อนหนึ่ง ไหนเลยจะเอ่ยคำห้ามปรามนางได้
ฉวีชิ่นเหยาจึงกลายเป็นศิษย์ของนักพรตชิงซวีจื่อด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง
หลังกราบอาจารย์วันแรก ฉวีชิ่นเหยาซึ่งเดิมทีไม่ยอมกินอะไรจู่ๆ ก็เริ่มดื่มนมคำโต ผ่านไปไม่กี่วันดวงตาที่ปิดสนิทก็เปิดออก มองดูผู้คนอย่างมีชีวิตชีวา แขนก็อวบใหญ่ขึ้น ใบหน้าน้อยๆ ก็กลมอิ่ม ปลายคางเรียวแหลมก็มีเนื้อนุ่มนิ่มอย่างเด็กทารกทั่วไป
สามีภรรยาสกุลฉวีถึงค่อยวางใจ กล่าวขอบคุณนักพรตชิงซวีจื่ออย่างจริงจังอีกครั้ง
ชิงซวีจื่อเห็นสองสามีภรรยาไม่อาจตัดใจ เด็กน้อยก็ยังอยู่ในช่วงต้องให้น้ำนม จึงทำสัญญากับสามีภรรยาสกุลฉวี พวกเขาสามารถนำบุตรสาวกลับบ้านก่อนได้ รอให้นางอายุครบสามขวบแล้วค่อยส่งกลับมาเรียนวิชาที่อารามชิงอวิ๋น
เมื่อฉวีชิ่นเหยาอายุครบสามขวบ นางเติบโตเป็นเด็กน้อยน่ารักปานตุ๊กตาหยกแกะสลัก นอกจากสีหน้าที่ยังซีดขาวอยู่เล็กน้อยก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กทั่วไปเลย
สองสามีภรรยาทั้งปลาบปลื้มยินดีและเศร้าเสียใจ คิดถึงสัญญาที่ให้ไว้กับนักพรตชิงซวีจื่อ เห็นว่าไม่อาจถ่วงเวลาให้ยืดยาวออกไปได้อีก จำต้องกัดฟันนำฉวีชิ่นเหยาไปส่งที่อารามชิงอวิ๋น
หลังจากนั้นทุกเจ็ดวัน สามีภรรยาสกุลฉวีก็จะนำฉวีชิ่นเหยากลับมาอยู่ด้วยหนึ่งวัน สลับกันไปมาสองทางเช่นนี้ ฉวีชิ่นเหยาก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลายปีมานี้ชิงซวีจื่อรับลูกศิษย์แค่สองคน ศิษย์คนโตเป็นทารกที่เขาเก็บได้จากข้างทาง เด็กคนนี้ดวงชะตาแข็งกล้าอย่างประหลาด เพราะขณะที่ถูกพบในวันหิมะตกหนักปกคลุมทั่วผืนดิน เดิมทีนึกว่าจะหมดลมหายใจไปแล้ว ใครจะรู้ว่าพอเปิดห่อผ้าอ้อมดูกลับยังมีชีวิตอยู่ ชิงซวีจื่อลอบอุทานด้วยความแปลกใจ อีกทั้งยังนับว่าเด็กคนนี้กับตนเองมีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์กัน จึงอุ้มเขากลับอารามชิงอวิ๋น ตั้งชื่อให้ว่าอาหาน