ศิษย์คนที่สองก็คือฉวีชิ่นเหยานี่เอง เขาเห็นชะตาของนางแขวนอยู่บนเส้นด้าย สามีภรรยาสกุลฉวีรูปลักษณ์ผอมแห้งซีดเซียว อดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ จึงเอ่ยปากเรื่องจะขอรับเป็นศิษย์ออกไป แต่กลับมีความมั่นใจเพียงสามส่วน เขาคิดเพียงว่าจะต้องรักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น ถ้าหากช่วยชีวิตได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลเรื่องหนึ่ง ถ้าหากช่วยไม่สำเร็จก็ถือว่าชะตาของนางต้องเป็นเช่นนี้
ไม่คาดคิดว่าฉวีชิ่นเหยาถูกกำหนดให้มีดวงชะตากล้าแข็ง หลังจากกราบเขาเป็นอาจารย์แล้วชีวิตดูเหมือนดีขึ้นไปทุกวันอย่างแท้จริง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ไม่มีอะไรต่างจากทารกปกติแล้ว เขาจำต้องรับศิษย์คนที่สองด้วยความจำใจ แต่ว่าเพราะนางเป็นเด็กหญิง จึงให้นางใช้ฐานะของศิษย์นอกสำนัก มากราบตนเองเป็นอาจารย์
เขาให้ความสำคัญกับอาหานลูกศิษย์คนโต ปกติเฝ้าอบรมสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ เสียดายไม่อาจถ่ายทอดสรรพความรู้ที่มีให้กับลูกศิษย์ได้ ใครจะรู้ว่าอาหานที่มองผิวเผินดูเฉลียวฉลาด แท้จริงแล้วกลับโง่งมดุจโค เขาคอยกระซิบกระซาบข้างหูเพียรสั่งสอนมาสิบกว่าปี ทุกวันนี้ก็ยังทึ่มๆ ทื่อๆ รับภาระหน้าที่แต่เพียงผู้เดียวไม่ได้
สำหรับฉวีชิ่นเหยาที่เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญสักเท่าใดกลับเฉลียวฉลาดเกินคนธรรมดา เวลาเรียนรู้สิ่งใดกวาดสายตาอ่านคราวเดียวสิบบรรทัด ก้าวหน้าไปไกลกว่าอาหานศิษย์พี่ของนางมากทีเดียว
เขาเห็นว่าฉวีชิ่นเหยามีสติปัญญาเช่นนี้ก็ค่อยๆ เลิกสั่งสอนนางแบบขอไปที เริ่มตั้งใจชี้แนะอย่างจริงจัง ไม่กี่ปีผ่านไปเห็นฉวีชิ่นเหยาเรียนรู้จนสำเร็จวิชาในระดับหนึ่งแล้ว ก็คิดจะส่งนางไปรับมือปีศาจอยู่ที่เขาหมั่งซานเพื่อลองหยั่งเชิงว่ามีความสามารถเท่าใด
ใครจะรู้ว่าพอเขามาหารือสามีภรรยาสกุลฉวี สองคนนี้กลับปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด บอกว่าตอนแรกตกลงกันแล้วว่าให้กราบเขาเป็นอาจารย์ ไม่เคยบอกว่าจะให้ไปกำจัดปีศาจปราบผี โดยเฉพาะฉวีชิ่นเหยาปีนี้อายุแค่สิบสี่ จะไปกำจัดปีศาจตามลำพังได้อย่างไร ท่านนักพรตไม่ใช่ว่ายังมีลูกศิษย์คนโตอีกคนหรอกหรือ เพราะเหตุใดถึงไม่ให้ลูกศิษย์คนนี้ไปเขาหมั่งซานแทนเล่า
นักพรตชิงซวีจื่อไม่ยอมท้อถอยโดยง่าย บอกว่าในเมื่อฉวีชิ่นเหยากราบเขาเป็นอาจารย์ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของอารามชิงอวิ๋น ร่ำเรียนวิชามานานหลายปี สมควรออกโรงแสดงความสามารถนานแล้ว ส่วนจะเดินทางไปจับปีศาจเมื่อใดนั้น อาจารย์อย่างเขาคนนี้มีแผนการของตนเอง ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้สามีภรรยาสกุลฉวีฟังให้มากความ
กล่าวโดยสรุปก็คือฉวีชิ่นเหยาจะต้องไปแน่ ไม่อยากให้ไปก็ต้องไป
หลังจากยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อมาหลายวัน สุดท้ายก็เป็นฝ่ายสามีภรรยาสกุลฉวียอมแพ้จนได้ พวกเขาเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้าไม่ผิด แต่ว่าชีวิตของฉวีชิ่นเหยานักพรตชิงซวีจื่อเป็นคนช่วยเอาไว้
บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าแค่ให้ฉวีชิ่นเหยาไปจับปีศาจเลย ต่อให้ต้องลุยขึ้นขุนเขาดาบลงทะเลเพลิง พวกเขาก็ไม่กล้าบอกว่า ‘ไม่’ ออกมาแล้ว
ฉวีเฉินซื่อระลึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ไปพลางมองสำรวจบุตรสาวที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไปพลาง หลายวันที่ไม่ได้พบหน้า บุตรสาวนางต้องใช้ชีวิตเหมือนดอกไม้งามต้องลมฝนจนเหี่ยวเฉา ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ได้ผลัดเปลี่ยนมาหลายวัน แม้กระทั่งใบหน้าก็ดำคล้ำลงไปมาก จะไม่ให้รู้สึกปวดใจได้อย่างไร
“มัวยืนนิ่งทำอะไร” นางถลึงตาใส่บ่าวหญิงสูงวัยที่ยืนสำรวมอย่างขลาดกลัวอยู่หน้าประตู “รีบไปบอกที่ห้องครัวว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ให้สี่กุ้ยเร่งมือเตรียมกับข้าวหลายอย่างที่คุณหนูชอบ” เห็นบ่าวหญิงรับคำสั่งจะเดินจากไปก็กล่าวเสริมอีกว่า “ไปอุ่นโจ๊กสาลี่ตุ๋นรังนกชามหนึ่งมาให้คุณหนูกินกลั้วคอก่อน”
เมื่อสั่งกำชับเสร็จสิ้นก็หันกลับมาบอกฉวีชิ่นเหยาว่า “เดี๋ยวเจ้ากินโจ๊กแล้วก็กลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ถึงเวลาอาหารค่ำแล้วพวกเราค่อยมานั่งกินอาหารกัน”
“อื้อ” ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ เหตุใดไม่เห็นพี่ชายล่ะเจ้าคะ”
สีหน้าฉวีเฉินซื่อปรากฏความกลัดกลุ้มทันที นางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ล้มป่วยอีกแล้ว คืนที่เจ้าออกจากบ้านไปคืนนั้นก็มีอาการไอเล็กน้อย หลายวันมานี้ยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ทุกปีช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ พี่ชายเจ้าเลี่ยงอาการเจ็บป่วยเช่นนี้ไม่พ้นหรอก”
ฉวีชิ่นเหยาได้ยินดังนั้นก็หันขวับกลับไปเปิดค้นห่อผ้าขนาดเล็กที่พกติดตัว หยิบห่อผ้าไหมที่ห่อของชิ้นหนึ่งออกมาก่อน แล้วก็เผลอมองในห่อผ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงเห็นว่าก้นห่อผ้ามี ‘ตั๋วเงิน’ ปึกใหญ่วางอยู่
ตั๋วเงินปึกนี้มีจำนวนสูงมากอย่างเห็นได้ชัด บนนั้นประทับอักษรพร้อมแลกเงินได้ทุกที่อย่างถูกต้อง ดูท่าไม่ต่างอะไรกับเงินปึกนั้นที่นางเห็นบนเขาหมั่งซาน
เอ๊ะ! ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ นางขอบคุณและปฏิเสธคุณชายท่านนั้นไปแล้วชัดๆ