นางขมวดคิ้วคิดทบทวน ใช่แล้ว ตอนเดินทางกลับจากเขาหมั่งซาน นางกับอาจารย์ไปเดินซื้ออาหารจากร้านสุราข้างทางหลายครั้งจึงต้องจอดรถม้าทิ้งเอาไว้ ไม่มีใครคอยดูแลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ดูท่าคงจะเป็นช่วงเวลานั้นแน่
แต่ว่าอาจารย์กับนางก็ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ โดยเฉพาะอาจารย์ที่เป็นคนปราดเปรื่องและขี้ระแวง สามารถนำตั๋วเงินมาวางในห่อผ้าใต้จมูกอาจารย์กับนางได้ ฝีมือของฝ่ายตรงข้ามแค่คิดก็รู้ว่าเป็นเช่นไร
ฉวีเฉินซื่อเห็นว่าในห่อผ้าของบุตรสาวมีตั๋วเงินปึกใหญ่เช่นนั้น ทั้งสีหน้าของบุตรสาวยิ่งเผยความไม่สบายใจเบาบาง จึงถามด้วยความร้อนใจ “อาเหยา เงินพวกนี้มาจากที่ใดกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
ฉวีชิ่นเหยาหัวใจกระตุกวูบ มารดาไม่เคยสนับสนุนให้บุตรสาวอย่างนางไปเป็นนักพรตอะไรนั่น ถ้าหากรู้ว่าตนเองไปเจอบุรุษแปลกหน้ากลุ่มใหญ่บนเขาหมั่งซานเข้าอีก น่ากลัวว่ามารดาจะต้องโมโหเดือดดาลจนตรงดิ่งไปคิดบัญชีกับอาจารย์เลยกระมัง
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” นางตอบโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี หัวใจก็ไม่เต้นรัว “เงินพวกนี้อาจารย์เตรียมนำกลับอาราม คิดว่าตอนกลับไปคงจะรีบร้อนนักถึงได้มาหลงอยู่ที่ห่อผ้าของข้า”
ฉวีเฉินซื่อจ้องมองใบหน้าบุตรสาวครู่หนึ่งด้วยความสงสัย เห็นว่านางมีสีหน้าเปิดเผย ท่าทางดูไม่เหมือนการเสแสร้งก็เก็บหัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลกลับลงไป
“เงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ไม่ใช่เล่นๆ ระวังอย่าทำหล่นหายไปล่ะ เจ้ามาฝากไว้ที่แม่ก่อน เอาไว้วันที่เจ้าจะกลับอารามชิงอวิ๋น แม่จะคืนให้เจ้าแล้วกัน”
ฉวีชิ่นเหยาคาดเดาได้ว่ามารดาจะต้องกล่าวเช่นนี้ นางทำปากจู๋ขณะประคองปึกตั๋วเงินส่งให้มารดา แต่แล้วก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอามือตบหน้าผากเอ่ย
“ดูข้าสิ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปแล้ว” นางรีบหันไปหยิบลูกกลอนปราณของปีศาจงูที่อยู่ในห่อผ้าไหมส่งให้มารดา ดวงตามีประกายความยินดีฉายออกมาเลือนราง “ท่านแม่ ข้ามีทางรักษาอาการของพี่ชายแล้ว”
ช่วงเวลาอาหารเย็นฉวีเอินเจ๋อก็กลับมา พอเห็นหน้าฉวีชิ่นเหยา หัวใจที่มีแต่ความกลัดกลุ้มมาหลายวันจึงสงบลงได้เสียที พอได้ยินว่าฉวีชิ่นเหยานำลูกกลอนปราณของปีศาจงูกลับมาเพื่อช่วยรักษาอาการของบุตรชายคนโต เขาก็ยิ่งดีใจจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาอย่างไรดี บุตรสาวของเขาเติบใหญ่แล้ว นอกจากจะร่ำเรียนจนมีฝีมือติดตัว ยังช่วยแบ่งเบาเรื่องทุกข์ร้อนใจของคนในครอบครัวได้อีกด้วย
สมาชิกครอบครัวสามคนกินอาหารเย็นจนหมดด้วยความตื่นเต้นยินดี จากนั้นก็นำลูกกลอนปราณไปหาฉวีจื่ออวี้
ทั้งสามเพิ่งจะเดินเข้าเขตเรือนพักก็ได้ยินเสียงไอดังบาดหูลอยมาจากในห้องนอน
ฉวีชิ่นเหยาได้ยินเสียงไอโขลกนี้แล้วรู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในจะหลุดออกมาด้วยเสียอย่างนั้น ในใจพลันเศร้าหมอง รีบก้าวเดินเข้าไปในห้อง เห็นฉวีจื่ออวี้พี่ชายของนางกำลังนั่งอยู่หน้าเตียงไอจนหายใจไม่ทัน ต้องสะกดกลั้นอาการจนหน้าเขียวหน้าแดง
ไห่ถังสาวใช้รุ่นใหญ่ยืนถือกระโถนบ้วนน้ำลายอยู่ข้างๆ คอยช่วยฉวีจื่ออวี้ลูบแผ่นหลังพลางเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ใช่ว่าบ่าวพยายามเกลี้ยกล่อมท่าน แต่ว่าตอนนี้ท่านไม่สบายอยู่นะเจ้าคะ เป็นช่วงที่ต้องพักฟื้นสงบจิตใจ เหตุใดต้องมาลำบากฝืนร่างกายอ่านตำราเช่นนี้อีกเล่า ท่านก็เคยพูดอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือว่าความขยันหมั่นเพียรไม่อาจเห็นผลสำเร็จในช่วงเวลาอันสั้น”
สายตาของฉวีชิ่นเหยาทอดมองไปที่ม้านั่งยาวข้างเตียง เห็นว่ามีตำราคัมภีร์กองสุมดังคาด นางลอบถอนหายใจ
ฉวีจื่ออวี้พี่ชายของนางสืบทอดพรสวรรค์ในการร่ำเรียนมาจากบิดา ตั้งแต่เล็กมาก็มีความมุมานะบากบั่น ท่านอาจารย์อวี๋ที่สอนความรู้พื้นฐานคนแรกเคยกล่าวถึงพี่ชายไว้ว่า ‘อายุยังน้อยแค่นี้ก็เรียบเรียงความคิดได้ดี อนาคตสดใสไร้ขอบเขตแน่’ เขาเป็นเด็กอัจฉริยะหาตัวจับยากคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายเกิดมาก็มีร่างกายอ่อนแอขี้โรค เสียเวลามากกว่าครึ่งในหนึ่งปีไปกับการเจ็บป่วย
เมื่ออายุได้สิบหกปีพี่ชายเคยฝืนไปลงสนามสอบ ทุ่มเทหมดพลังไปครึ่งชีวิตจนสอบได้จวี่เหริน แต่ว่าภายหลังร่างกายย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงการเข้าสอบเคอจวี่ แม้กระทั่งการเดินออกนอกจวนก็ฝืนทำได้ยากยิ่ง
บิดาเห็นพี่ชายร่างกายอ่อนแอปานนี้จึงล้มเลิกความคิดจะให้พี่ชายเป็นขุนนางไปนานแล้ว แต่ว่าพี่ชายเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง จะยอมอยู่บ้านเฉยๆ เป็นคนไร้ค่าหลบซ่อนอยู่ใต้เงาของบิดาหรือ ปกติเขาเคยทุ่มเทสุดกำลังลับหลังบิดามารดาหลายครั้ง เฝ้ารอว่าเมื่อเติบโตขึ้นร่างกายคงจะได้ความกว่านี้ ต้องมีสักวันที่สร้างผลงานและคว้าตำแหน่งขุนนางมาได้