ฉวีชิ่นเหยานิ่งอึ้งไป หลันอ๋องซื่อจื่อที่พบหน้าบนเขาหมั่งซานคราวก่อน ดูแล้วอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี มองดูพระชายาท่านอ๋องอย่างมากก็อาวุโสกว่าเขาปีสองปีเท่านั้น อย่างไรคนทั้งสองก็ไม่มีทางเป็นแม่ลูกกันได้ นางจึงลองคิดทบทวนอีกครั้ง
จริงสิ เป็นไปได้ว่ามารดาของหลันอ๋องซื่อจื่อคงจากโลกนี้ไปแล้ว พระชายาท่านนี้ก็คือภรรยาใหม่ของบิดาเขากระมัง
คนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกขณะ จังหวะที่กำลังจะเดินเฉียดผ่านไป สตรีข้างกายพระชายาหลันอ๋องจู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ปิ่นหงส์บนศีรษะท่านอาเอียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
นางกล่าวแล้วยกมือขวาขึ้นช่วยพระชายาหลันอ๋องจัดเครื่องประดับศีรษะ แขนเสื้อหลวมกว้างสีชมพูอ่อนลื่นไหลมาถึงข้อศอกตามการเคลื่อนไหวของนาง เผยให้เห็นท่อนแขนเรียวขาวเนียนหมดจดดั่งรากบัว
ฉวีชิ่นเหยาอยู่ใกล้พวกนางกว่าใคร พอเงยหน้ามองโดยไม่ได้ตั้งใจก็เห็นบนแขนสตรีผู้นี้มีเส้นสีทองพาดผ่านผิวพรรณขาวผ่องอย่างเลือนราง เส้นสายนั้นคดเคี้ยวยาวไปจรดกลางฝ่ามือแล้วหายลับไป
ฉวีชิ่นเหยาหนาวสะท้านขนลุกเกรียว เมื่อเห็นสตรีนางนั้นติดตามพระชายาหลันอ๋องออกจากร้านไป นางก็บอกมารดาด้วยความร้อนใจว่า “ท่านแม่ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าในอารามมีงานที่อาจารย์สั่งไว้ยังจัดการไม่เรียบร้อย ข้าคงต้องกลับไปก่อนแล้ว ข้าขอใช้รถม้าด้วยนะเจ้าคะ”
นางกล่าวจบก็ก้าวยาวๆ เดินออกจากร้านไล่ตามไปทันที
“นางสะกดรอยตามรถม้าชุยซื่อไปจนถึงวังของเรา?” ลิ่นเซี่ยววางจอกสุราลงด้วยความประหลาดใจ
“ขอรับ” ฉางหรงก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด
เจี่ยงซานหลางกำลังเลือกเครื่องประดับจากถาดไม้จื่อถานลายเมฆมงคล ได้ยินเข้าก็ยิ้มกว้าง เงยหน้ามองฉางหรงแล้วเอ่ยว่า “นายของเจ้าปกติเอาแต่หัวเราะเยาะข้าว่าโดนหญิงขายดอกไม้ยั่วยวนจนหลงใหลโงหัวไม่ขึ้น ตัวเองกลับมาถูกตาต้องใจนักพรตหญิงคนหนึ่ง คราวนี้ดีเลยสิ นางตามไปจนเจอบ้านเจ้าแล้ว มัวแต่รีรออะไรอยู่ ยังไม่รีบกลับไปอีกหรือ”
ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าคิดไปถึงที่ใดกัน” เขาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ไม่อาจอธิบายให้กระจ่าง จึงลุกขึ้นกล่าวว่า “วันหน้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง”
จากนั้นลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงก็ขี่ม้าเร็วลงแส้กลับวังอ๋อง แต่ว่าถนนสายใหญ่หน้าวังกลับว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้ว มีรถม้าอยู่สักคันที่ใดกันเล่า
ลิ่นเซี่ยวยังไม่ยอมแพ้ สั่งให้พวกฉางหรงนำพวกเว่ยปอค้นหาทั่วบริเวณอย่างละเอียด พวกเขาค้นหากันนานกว่าครึ่งชั่วยามก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา
ลิ่นเซี่ยวมีข้อสงสัยผุดขึ้นมามากมาย ตอนรับมือกับปีศาจงูบนเขาหมั่งซานวันนั้น แม่นางน้อยมีพร้อมทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ ไม่เหมือนคนที่ทำอะไรสะเปะสะปะโดยไร้เป้าหมาย ตกลงวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้นางถึงขั้นติดตามรถม้าของชุยซื่อมาที่วังอ๋อง
ลิ่นเซี่ยวขบคิดมาตลอดทางระหว่างที่เดินเข้าวัง เขาเพิ่งจะเดินเข้าเรือนซือหรู หลี่หมัวมัว ที่รับใช้ข้างกายชุยซื่อก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทางใด นางปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม ยอบกายคารวะลิ่นเซี่ยวแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว พระชายาเชิญท่านไปที่ห้องโถงบุปผาเจ้าค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับท่าน”
ใบหน้าแก่ชรามีริ้วรอยยับย่น กลับยังผัดหน้าทาแป้งเสียหนาเตอะ ในใจลิ่นเซี่ยวรู้สึกรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก เขากำลังจะออกปากปฏิเสธก็นึกถึงเรื่องในวันนี้ขึ้นมาได้จึงเปลี่ยนใจ พยักหน้าให้หลี่หมัวมัวแล้วตอบกลับ
“ได้ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกมา”
สองนายบ่าวเดินใกล้ถึงหน้าห้องโถงบุปผาก็ได้ยินเสียงนักดนตรีกำลังบรรเลงบทเพลง ท่วงทำนองสนุกสนานรื่นเริง สะท้อนภาพทิวทัศน์ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่งดงามสดใส เงียบสงบแสนอิ่มเอมใจของฉางอัน
ต้นท้อสองต้นหน้าประตูห้องโถงกำลังผลิบานสะพรั่ง กลีบดอกสีแดงเข้มถูกสายลมพัดจนปลิดปลิวหลุดจากกิ่งท่ามกลางเสียงดนตรีคลอ ก่อกวนความคิดผู้คนให้ล่องลอยไปไกล
ขณะที่ลิ่นเซี่ยวเดินเข้าห้องโถงบุปผา บังเอิญว่ามีกลีบดอกไม้ร่วงหล่นใส่จอนผมสีดำเข้มดุจน้ำหมึกพอดี ทำให้หลิงหลงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พะยูงหอมใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะคิกคักชอบใจแผ่วเบา
“คิกๆ ไม่คิดว่าพี่ชายที่ปกติเคร่งขรึมไม่ชอบพูดจาล้อเล่น กลับทัดดอกไม้ที่จอนผมเอาอย่างคุณชายเจ้าสำราญข้างนอกนั่น”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของหลิงหลง ก็มีสายตาสองคู่มองตรงมาจากที่นั่งตำแหน่งประธาน หยุดอยู่ที่ร่างของหนุ่มน้อยใต้เงาของดวงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิ
ชุดคลุมยาวสีสดใสดั่งท้องฟ้าโปร่งหลังฝนโปรย พร้อมด้วยสายคาดเอวหินฮั่นไป๋อวี้ รูปร่างสูงสง่าเหยียดตรง อากัปกิริยาสุขุมเยือกเย็น ใบหน้ายิ่งหล่อเหลาคมคายชวนให้นัยน์ตาพร่ามัว ยามที่สวรรค์บรรจงสรรค์สร้างลิ่นเซี่ยวคงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ถึงได้ประทานใบหน้าที่หล่อเหลาล้ำเลิศปานนี้โดยไม่เสียดาย ชุยซื่อเบนสายตาออกอย่างเฉยชา แต่หลันอ๋องกลับมีความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม นี่คือบุตรชายคนโตของเขา เป็นบุรุษที่องอาจผึ่งผาย เจิดจ้าบาดตายิ่งกว่าแสงอาทิตย์แรกยามรุ่งอรุณสามส่วน