ดวงตาเขาแสดงความพึงพอใจที่มีต่อลิ่นเซี่ยวชัดเจน หัวเราะเสียงกังวานแล้วเอ่ยว่า “ลมฤดูใบไม้ผลิช่างก่อกวนใจคนนัก แม้กระทั่งซื่อจื่อก็กล้าแกล้งหยอกเย้า ลองดูสิ จะไม่ให้เหมือนทัดดอกไม้ได้อย่างไร ช่างเถอะ ปล่อยดอกไม้พวกนี้ไป บุตรชายข้ารูปโฉมราวพานอัน ต่อให้เขาทัดดอกไม้ก็ตาม ชายหนุ่มที่จูงม้าทัดดอกไม้ตามถนนในฉางอันยังจะเทียบกับเขาได้หรือ”
ลิ่นเซี่ยวรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ “ท่านพ่ออย่าหัวเราะลูกอีกเลย” ก่อนจะเอ่ยสั่งบ่าวไพร่ที่อยู่ข้างกายช่วยปัดกลีบดอกท้อที่ร่วงหล่นใส่ศีรษะ
หลันอ๋องยังอยู่ในห้วงอารมณ์คึกคักไม่เปลี่ยน มองหน้าลิ่นเซี่ยวด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“วันนี้เสด็จพี่แต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพทหารองครักษ์ฝ่ายใต้ วันหน้าเจ้าก็จะได้บัญชาการหน่วยอวี่หลิน หน่วยอวี่หลินรักษาการณ์วังหลวง เกี่ยวพันถึงฝ่าบาทและความปลอดภัยของบ้านเมือง เจ้าจงจำไว้ให้มั่นว่าจะต้องละเอียดรอบคอบยิ่งกว่าที่ผ่านมา อย่าได้ทำผิดต่อความไว้วางพระทัยที่เสด็จลุงมีต่อเจ้าเป็นอันขาด”
ลิ่นเซี่ยวเอ่ยรับคำทันที “ขอรับ”
ชุยซื่อยิ้มแล้วเอ่ยเตือนหลันอ๋อง “ท่านอ๋องเจ้าคะ อย่ามัวแต่ดีใจอยู่เลย มีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงอีก”
หลันอ๋องชะงักงันไปชั่วครู่ แล้วยิ้มแย้มออกมาโดยพลัน “ใช่แล้ว วันนี้มีเทศกาลหญิงสาว ได้ยินว่าเสด็จพี่มีพระบัญชาว่าคืนนี้ไม่มีกฎห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล อีกทั้งยังจัดงานชมโคมไฟริมคลองคูเมืองขึ้นเป็นพิเศษด้วย หลิงหลงญาติผู้น้องของเจ้าอยากไปชมดู ถ้าหากคืนนี้เจ้าไม่มีธุระอะไรก็พานางออกไปชมความคึกคักสักหน่อยเถอะ”
ลิ่นเซี่ยวตอบปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด “น่าเสียดายนัก คืนนี้ลูกมีเรื่องต้องหารือกับเจี่ยงซานหลาง เกรงว่าคงไปเป็นเพื่อนน้องหลิงหลงไม่ได้”
เดิมทีหลิงหลงมองลิ่นเซี่ยวด้วยสีหน้ารอคอย พอได้ยินดังนั้นก็หันไปมองชุยซื่อด้วยแววตาน่าสงสาร
ชุยซื่อเอ่ยออกมาเบาๆ “ท่านอ๋อง…”
หลันอ๋องลูบเคราครุ่นคิด สีหน้าแสดงความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวกับลิ่นเซี่ยว
“ทุกวันเจ้ากับเจี่ยงซานหลางก็เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงด้วยกันอยู่แล้ว มีเรื่องพูดคุยไยไม่พูดเอาตอนนั้น จะต้องมาคุยวันนี้ให้ได้ หลิงหลง เด็กคนนี้เดินทางมาไกลจากโยวโจว ไม่เคยเห็นโคมไฟในเมืองฉางอันมาก่อน แล้วหาได้ยากนักที่วันนี้เป็นเทศกาลหญิงสาว เจ้าสมควรทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดี พานางออกไปเดินเล่น ไม่ต้องบอกปัดอีกแล้ว ตกลงตามนี้ หลังอาหารเย็นเจ้าออกจากวังไปเป็นเพื่อนหลิงหลง”
ฉวีชิ่นเหยาแต่งกายเช่นนักพรตน้อย หลบซ่อนอยู่บนรถม้าในตรอกเล็กด้านหลังวังหลันอ๋อง เฝ้ามองวังหลันอ๋องที่อยู่ห่างไกลออกไป
เมื่อเช้านางติดตามสตรีที่นางพบหน้าในหอไจเยวี่ยมาจนถึงวังอ๋อง ตอนแรกคิดว่าจะฉวยโอกาสแฝงตัวเข้าไปข้างใน ใครจะรู้ว่าวังหลันอ๋องคุ้มกันเข้มงวดแน่นหนา นางจับตาดูอยู่พักใหญ่ก็ยังหาหนทางผ่านประตูไปไม่ได้ จำต้องกลับอารามชิงอวิ๋นด้วยความแค้นใจ
พอนึกถึงที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าแมลงกู่ในร่างกายของผู้ใช้กู่คนที่สองจะตื่นขึ้นในอีกไม่นาน นางก็รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย จึงทิ้งจดหมายไว้ให้ฝูหยวนฉบับหนึ่ง พร้อมสั่งกำชับว่าถ้าหากอาจารย์กลับมาให้มอบจดหมายให้ทันที
ส่วนนางก็หยิบคันฉ่องไร้ขอบเขตที่อาจารย์ใช้รับมือกับเป่าเซิงออกมา แล้วก็ซุกเก็บในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง นั่งรถม้ากลับมาที่วังหลันอ๋องอีกครั้ง
นางเฝ้าอยู่ที่เดิมจนกระทั่งท้องฟ้าโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ในที่สุดหน้าประตูก็มีความเคลื่อนไหว มีบ่าวไพร่เดินออกมากลุ่มหนึ่งก่อน พวกเขาจูงม้าหลายตัวและรถม้าคันหนึ่งออกมาจอดนิ่งราวกับว่ากำลังรอคอยใครบางคน
ไม่นานเท่าใดก็มีชายหนุ่มหล่อเหลาองอาจในชุดเสื้อแพรเดินออกมา ฉวีชิ่นเหยาเพ่งพินิจชัดเจนก็พบว่านั่นคือหลันอ๋องซื่อจื่อที่เคยพบบนเขาหมั่งซาน
ข้างกายเขามีเด็กสาวผู้หนึ่งเดินเคียงข้างกันมา นางมีคิ้วและดวงตางามโดดเด่น รอยยิ้มแสนอ่อนหวาน เงยหน้าพูดคุยกับเขาอยู่บ่อยครั้ง
คนทั้งสองเดินมาถึงหน้ารถม้า หลันอ๋องซื่อจื่อก็หยุดฝีเท้า มองดูสาวใช้ประคองเด็กสาวขึ้นรถม้าไป จากนั้นก็หมุนตัวกระโดดขึ้นหลังม้า กระชับสายบังเหียนแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้า
ดูจากรูปการณ์แล้ว สองคนนี้คงจะไปชมโคมไฟตรงคลองคูเมืองเป็นแน่
ฉวีชิ่นเหยารีบปล่อยม่านรถม้าลง สั่งให้เหล่าโจวคนขับรถม้าตามรถม้าคันข้างหน้าไปเงียบๆ
ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ฉวีชิ่นเหยาก็นั่งพิงผนังรถม้าครุ่นคิด ผู้ดูแลหอไจเยวี่ยเคยบอกว่าสตรีนางนี้เป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของพระชายาหลันอ๋อง คนทั้งสองความสัมพันธ์สนิทสนมแน่นแฟ้น จากที่เห็นเมื่อครู่ ดูเหมือนหลันอ๋องซื่อจื่อก็ดีต่อนางไม่น้อย ทำให้ฉวีชิ่นเหยาอดปวดศีรษะไม่ได้ ญาติสนิทของวังหลันอ๋องไม่ใช่คนที่ตนจะล่วงเกินโดยง่าย ประเดี๋ยวจะต้องหาวิธีอะไรสักอย่างที่สามารถยืนยันตัวตนของผู้ใช้กู่ได้โดยที่ไม่มีใครรู้เห็น
ขณะที่นางกำลังคิดหาวิธี รถม้าก็หยุดชะงักกะทันหันแล้วจอดนิ่งสนิท
ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึง กำลังจะเอ่ยถามเหล่าโจวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จู่ๆ เบื้องหน้าก็มีแสงวูบไหว มีคนเลิกผ้าม่านรถม้าอย่างไร้สุ้มเสียง คนผู้นั้นมีดวงตาเปล่งประกายวิบวับดุจดวงดาว อมยิ้มกริ่มมองตรงมาที่นาง
“ตั้งแต่จากกันที่เขาหมั่งซานก็ไม่ได้พบกันเสียนาน ช่วงนี้ท่านนักพรตสบายดีหรือไม่”
ฉวีชิ่นเหยาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “ซื่อจื่อ…”