แม้จะเตรียมใจมาพร้อมแล้วก็ตาม แต่ว่าทันทีที่เห็นเหมยหงที่กลายเป็นศพแห้งเหือด ฉวีชิ่นเหยาก็ยังขนลุกซู่ไปทั้งตัว เดิมทีสมควรเป็นร่างกายที่มีเนื้อมีหนังอวบอิ่ม เวลานี้ใบหน้ากลับดำคล้ำ เนื้อหนังแห้งเหือด ขอบตาลึกโบ๋ ส่วนที่น่ากลัวที่สุดก็คือดวงตาคู่นั้น แม้จะขุ่นมัวหม่นแสงไปแล้ว แต่กลับยังจ้องเขม็งมองความว่างเปล่าด้านบนอย่างแข็งกร้าว
ชิงซวีจื่อส่งเสียง “เอ๊ะ” ออกมาคำหนึ่ง เดินเข้าไปใกล้ตรวจดูใบหน้าของเหมยหง ประเดี๋ยวก็หันไปสั่งการอาหานว่า “ยกแขนขวาของนางให้ข้าดูหน่อย”
อาหานตอบรับคำ ยกแขนของศพที่แข็งเหมือนตอไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กลิ่นเหม็นเน่าของศพฟุ้งกระจายออกมาในพริบตา
เด็กรับใช้ที่นำทางอาจารย์และศิษย์สามคนมาเห็นดังนั้นก็อาเจียนแห้งๆ เอาแขนเสื้อปิดปากแล้ววิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ชิงซวีจื่อไม่สนใจแต่อย่างใด เขาก้มลงพินิจดูแขนขวาดำคล้ำของศพอย่างละเอียดไปทีละชุ่น จนกระทั่งมาถึงบริเวณฝ่ามือก็กดเสียงต่ำเรียกฉวีชิ่นเหยาแผ่วเบา “อาเหยา เจ้าก็เข้ามาดูสิ”
ฉวีชิ่นเหยาขยับเข้าไปใกล้ มองเห็นลายเส้นสีทองอ่อนบนฝ่ามืออย่างเลือนราง สายตามองไล่เส้นที่คดเคี้ยวไปจนถึงปลายนิ้วก้อย นางเอ่ยถามอย่างสับสน “อาจารย์ นี่มันอะไรกัน”
ชิงซวีจื่อกลอกตาด้วยความโมโห “ปีที่แล้วเพิ่งจะพูดกับเจ้าเรื่องคัมภีร์ปีศาจสองม้วนจบ ตอนนี้ลืมไปหมดแล้วหรือไร อาหาน เจ้าเป็นศิษย์พี่ ไหนลองว่ามาซิ นี่คืออะไร”
แต่ไหนแต่ไรมาอาหานเข้าใจว่ามีคำถามฉวีชิ่นเหยาต้องตอบ ไม่คิดว่าอาจารย์จะมาถามเขา จึงตกใจลิ้นพันกันวุ่นวาย
“เป็น…เป็น” เขาเค้นสมองขบคิดคำตอบอย่างเต็มที่ “เป็น เป็นกู่” ตอบแบบคาดเดาส่งเดชแล้วก็รอโดนอาจารย์เคาะศีรษะดังโป๊ก
ใครจะรู้ว่าเมื่อชิงซวีจื่อได้ยินคำตอบแล้ว สีหน้าผ่อนคลายลงโดยพลัน เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อืม นับว่ามีความก้าวหน้าบ้าง ถ้าหากข้าดูไม่ผิด สตรีนางนี้โดนกู่เข้าอย่างแน่นอน แต่ว่านางไม่ใช่ผู้รับกู่เพียงคนเดียว ยังมีผู้รับกู่คนอื่นอยู่อีก”
ฉวีชิ่นเหยาตกใจจนอ้าปากกว้าง “เป็นกู่จริงรึ อาจารย์ ท่านเคยบอกไม่ใช่หรือว่าวิชากู่ในราชวงศ์ปัจจุบันหายสาบสูญไปนานแล้ว”
“อาจารย์เคยพูดเมื่อไรว่าวิชากู่สาบสูญไป แค่บอกว่าไม่เคยเห็นวิชากู่ที่โหดเหี้ยมเช่นนี้มานานแล้วเท่านั้น” ชิงซวีจื่อลองพลิกฝ่ามือข้างขวาของศพดูอีกรอบ นิ่งคิดใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกำชับฉวีชิ่นเหยา “ไปตักน้ำในบ่อมาชามหนึ่ง”
เมื่อฉวีชิ่นเหยาไปตักน้ำในบ่อมาแล้ว ก็สั่งให้อาหานไปเฝ้าหน้าประตูห้องเก็บฟืน ห้ามผู้ใดบุกรุกเข้ามาโดยพลการ ประโยคนี้เกินความจำเป็นไปมาก เพราะเวลานี้ทุกคนในหอหมู่ตันต่างระแวดระวัง หลบเลี่ยงเรือนด้านหลังประหนึ่งปีศาจร้าย ใครจะว่างแล้วเดินมาที่ห้องเก็บฟืนกันเล่า
หลังจากเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ชิงซวีจื่อก็นำชามใส่น้ำบ่อเต็มปริ่มวางลงข้างศพ แล้วกัดนิ้วเป็นแผลฉีก หยดเลือดลงไปในชามใบนั้นหลายหยด ฉวีชิ่นเหยาทราบดีว่าอาจารย์กำลังล่อกู่ออกจากถ้ำแล้ว
เป็นดังที่คาดไว้ นางเห็นอาจารย์ใช้ยันต์แผ่นหนึ่งไปติดหน้าผากของศพ หลับตาลงท่องคาถา โบกสะบัดแส้ขนจามรี ก่อนจะตะโกนเสียงสูงว่า “เผยตน!”
เพิ่งจะสิ้นเสียงนั้น ศพก็กระตุกเกร็งราวกับเป็นตะคริวขึ้นมา มือทั้งสองข้างหงิกงอเป็นตะขอ เสียงร้องอืออาเปล่งผ่านลำคอชวนให้หนาวสะท้าน
แผ่นยันต์ที่แปะตรงหน้าผากศพสว่างวาบสลับดับวูบ ราวกับมีมือที่ไร้รูปร่างกำลังต่อสู้กับพลังภายในร่างกายศพ ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้ในช่วงเวลาอันสั้น ยื้อยุดกันอยู่นานสองนาน ในที่สุดศพนี้ก็สงบนิ่งลงจนได้
ฉวีชิ่นเหยารีบก้มหน้ามองที่มือขวาของศพ ตอนแรกไม่พบความผิดปกติใด แต่แล้วเส้นสีทองบนฝ่ามือก็ค่อยๆ จางและหดสั้นลง กลายเป็นรูปลักษณ์ของแมลงอย่างหยาบๆ ตัวหนึ่ง พอกะพริบตาอีกครั้งลวดลายแมลงสีทองตัวนั้นก็เริ่มขยับยุกยิกใต้ผิวหนัง
มันเคลื่อนที่จากฝ่ามือมาที่ปลายนิ้ว ระยะทางแสนสั้นแค่ไม่กี่ชุ่น แต่แมลงสีทองตัวนั้นกลับใช้เวลาขยับนานถึงครึ่งก้านธูป จนกระทั่งไปถึงสุดปลายนิ้วถึงได้ทะลุผิวหนังออกมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วร่วงลงในชามใส่น้ำบ่อ
เมื่อลิ้มรสน้ำบ่อผสมเลือดของชิงซวีจื่อ เจ้าแมลงสีทองก็ขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัวทันที ฉวีชิ่นเหยาเห็นแล้วสะดุ้งตกใจ เงยหน้าขึ้นกล่าวกับอาจารย์ว่า “เป็นแมลงกู่ที่ชั่วร้ายยิ่ง! อาจารย์ ตกลงว่ามันคือกู่อะไรกันแน่ เหตุใดถึงมีฤทธิ์ร้ายกาจปานนี้”
ชิงซวีจื่อขมวดคิ้วจ้องมองแมลงกู่ในชาม ตอบด้วยความกังวลว่า “กู่ชนิดนี้มีชื่ออันไพเราะว่า ‘เคียงคู่นิรันดร์’ หนึ่งกู่จะมีสามตัว ไม่เคยออกจากกู่ตามลำพัง อาจารย์เป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เกรงว่าตัวที่พวกเราเจอวันนี้เป็นแค่หนึ่งในบรรดากู่ทั้งหมดน่ะสิ”
“หา?” ฉวีชิ่นเหยาเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกว่าหนึ่งกู่มีสามตัว
ขณะที่นางจะถามต่อ ชิงซวีจื่อก็สะบัดแส้ขนจามรีอีกครั้งพลางสั่งกำชับฉวีชิ่นเหยา “ผนึกแมลงกู่ให้ดี พวกเราจะต้องไปตามหาผู้รับกู่คนแรกในหอหมู่ตันออกมาก่อน”