เมื่ออาจารย์และศิษย์ทั้งสามคนกลับมาที่ห้องโถงด้านหน้า ข้างกายจินเหนียงก็มีเด็กสาวแรกรุ่นสวมชุดสีสันสดใสห้อมล้อมอยู่หลายคน ตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ว่าพวกนางแต่ละคนกลับเปิดเปลือยทรวงอก เผยให้เห็นผิวขาวผ่องดั่งหิมะโดยไม่นึกเสียดาย
เด็กสาวสองคนที่มีความงามล้ำเลิศที่สุดในกลุ่ม คนหนึ่งสวมชุดพลิ้วไหวสีม่วง คนหนึ่งสวมชุดสีชมพู ยืนเคียงข้างจินเหนียงทางซ้ายขวา เฝ้ากระซิบปลอบโยนนาง
อาหานเจอภาพมวลบุปผาหลากสีบานสะพรั่งทำให้ตาพร่าเลือน ได้แต่จ้องมองไปข้างหน้าอย่างทึ่มทื่อ นัยน์ตาหยุดนิ่งไม่กลอกไปมาแล้ว
คราวนี้ไม่ต้องให้อาจารย์ลงมือ ฉวีชิ่นเหยาก็ชิงหยิกเนื้อศิษย์พี่ด้วยความแค้นใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้าก่อน อาหานร้องโอดโอยคำหนึ่งจึงตระหนักได้ว่าพลั้งเผลอเสียกิริยา ใบหน้าแดงก่ำรีบก้มลงต่ำโดยพลัน ไม่กล้าเหลือบมองเด็กสาวกลุ่มนั้นอีกเลย
มีบางคนหัวเราะขบขันอย่างห้ามไม่อยู่ คิดว่าคงไม่เคยเห็นนักพรตท่าทางเงอะงะงุ่มง่ามเช่นนี้
ชิงซวีจื่อสะกดกลั้นไฟโทสะเต็มท้องเอาไว้ ลอบสบถด่าอาหานเสียยับเยิน ก่อนจะแค่นเสียงขึ้นจมูกคำหนึ่งแล้วก้าวยาวๆ มานั่งตรงตำแหน่งแขกผู้ทรงเกียรติ
จินเหนียงเงยหน้ามองชิงซวีจื่อ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาแล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านนักพรต เมื่อครู่ดูศพของเหมยหงแล้ว พบเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่”
ชิงซวีจื่อกวาดสายตาของทุกคนในที่นี้รอบหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ไม่เอ่ยตอบคำแต่อย่างใด
จินเหนียงก็กล่าวต่อโดยไม่สนใจ “ท่านนักพรต ขอบอกตามตรง หลังจากเกิดเรื่องกับเหมยหงแล้วกิจการของพวกเราก็ซบเซาลงไปมาก ผู้คนต่างบอกว่าในหอของเรามีผีอาละวาด แขกที่เคยแวะเวียนมาประจำก็ไม่กล้ามาแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปกลัวว่าจะต้องได้ฤกษ์ปิดกิจการในเร็ววันแน่”
ระหว่างที่นางรำพันก็ถอนหายใจไม่ได้หยุด เด็กสาวชุดสีม่วงรีบเอ่ยปลอบ “มามา อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ถึงกิจการในหอจะเงียบเหงาไปบ้าง แต่รออีกไม่กี่วันผู้คนจะลืมเรื่องนี้ไปเอง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นอีกครั้ง”
“จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก” เด็กสาวชุดสีชมพูที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “มีใครไม่รู้บ้างว่าช่วงนี้เจ้าไปคว้าตัวคุณชายสี่จวนเวยหย่วนโหวไว้ได้ อีกไม่กี่วันก็จะมีคนมาไถ่ตัวไปเป็นอนุภรรยา กิจการของหอหมู่ตันเราจะรุ่งเรืองจะซบเซามันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย นี่เจ้าเสแสร้งเล่นละครให้ใครดูกัน”
“เจ้า…” เด็กสาวชุดสีม่วงถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ
ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยตอบโต้ จินเหนียงก็ตวาดขึ้น “พอแล้ว! ตอนนี้มีแขกอยู่ด้วย พวกเจ้ายังมีมารยาทเหลืออยู่บ้างหรือไม่”
เด็กสาวทั้งสองคนปิดปากสนิท ต่างฝ่ายต่างเบนสายตาไปทางอื่น
ฉวีชิ่นเหยามองแล้วก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ
“ขอถามจินมามา…” ชิงซวีจื่อที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากขึ้น “ไม่นานมานี้หอหมู่ตันได้รับคนใหม่เข้ามาบ้างหรือไม่”
“ช่วงไม่นานมานี้?” จินเหนียงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เคย ทุกสองปีข้าถึงจะไปเจียงหนานคัดเลือกเด็กใหม่มาเพิ่ม ครั้งล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปคือเดือนสามปีที่แล้ว”
หมายความว่าเกือบหนึ่งปีมานี้ไม่มีคนใหม่เข้ามาเพิ่ม ชิงซวีจื่อลูบเคราของตนเองแล้วถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนเหมยหงยังมีชีวิตอยู่ เคยปรนนิบัติรับใช้แม่นางคนใด”
ทั้งห้องโถงเงียบสนิทในพริบตา ครู่หนึ่งเด็กสาวชุดสีชมพูที่มีฝีปากคมกริบก็เอ่ยขึ้น “ตอนเหมยหงยังมีชีวิตอยู่เป็นสาวใช้ของข้าเอง”
นางมีรูปโฉมงามล้ำเลิศหาใดเปรียบ คิ้วและดวงตาเชิดสูง แลดูสดใสมีชีวิตชีวายิ่งกว่าสตรีทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะอยู่ในหอหมู่ตันที่มีร้อยบุปผาประชันโฉม ก็ยังถือว่าเป็นสาวงามที่ไม่เป็นสองรองใคร
เวลานี้นางพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติอย่างสุดกำลัง มือที่กำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้สั่นไหวเล็กน้อย
จินเหนียงกุมมือปลอบประโลมนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “อวิ๋นเสา เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ท่านนักพรตฟังโดยละเอียดเถอะ”
อวิ๋นเสาขบกัดริมฝีปากของตนเอง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง “เหมยหงเพิ่งจะเข้ามาเมื่อปีก่อน รับใช้ข้างกายข้ามาเกือบหนึ่งปีแล้ว ปกตินางทำงานขยันขันแข็ง แต่ว่าปากมากไปสักหน่อย ชอบหยิบฉวยอะไรเล็กๆ น้อยๆ วันที่เกิดเรื่องนั้นนางทำกระปุกใส่ชาดแดงของข้าแตกแต่เช้าตรู่ พอถึงช่วงเที่ยงมาคอยรับใช้เวลากินอาหารก็เอาน้ำแกงสาดใส่กระโปรงของข้าอีก ข้าเห็นนางเอาแต่เหม่อลอยทั้งวันก็เลยตำหนินางไปยกใหญ่ ไล่นางออกไปคุกเข่าอยู่นอกประตูห้อง ใครจะไปรู้ว่าช่วงบ่ายสาวใช้คนนี้กลับหายตัวไปไม่เห็นเงา ข้าไปบอกจินมามา ทุกคนช่วยกันตามหาทั้งข้างในข้างนอกจนทั่ว ถึงได้เห็นว่าสาวใช้คนนี้ตายอยู่ที่สวนดอกไม้ในเรือนด้านหลัง”
ระหว่างที่นางเล่าดูเหมือนจะนึกถึงสภาพศพของเหมยหงขึ้นมาได้ นางขยับเบียดชิดเก้าอี้เนื้อตัวสั่นสะท้าน